การฝึกพลังจิตรักษาโรคมะเร็งด้วยตนเอง
เนื่องจากมีคนที่ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งมาขอความช่วยเหลือและคำปรึกษาจากข้าพเจ้าเป็นจำนวนมาก ข้าพเจ้าเห็นคนป่วยเหล่านั้นแล้วมีความรู้สึกสงสารมากเนื่องจากมะเร็งเป็นโรคที่สร้างความทรมานแก่ผู้ป่วยมากไม่ว่าจะเป็นลักษณะอาการของโรคหรือแม้แต่วิธีการรักษาก็ตาม ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงอยากแนะนำการฝึกพลังจิตเพื่อรักษาโรคมะเร็งเพื่อเป็นวิทยาทานแก่คนทั่วไป จากประสบการณ์ที่ผ่านมามีคนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งแล้วได้ฝึกตามที่ข้าพเจ้าแนะนำนี้แล้วรู้สึกว่าอาการป่วยของเขาดีขึ้นอย่างรวดเร็วแทบไม่น่าเชื่อ เช่น ความเจ็บปวดได้หายไปหรือทุเลาลง ทานข้าวได้มากขึ้น เชื้อหรือก้อนเนื้อมะเร็งได้หายไปหรือลดขนาดลง การฝึกด้วย วิธี “มะ อะ อุ” นี้ไม่ได้จำกัดแค่เฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งเท่านั้น ผู้ที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งก็สามารถฝึกวิธีนี้เพื่อรักษาร่างกายได้เช่นกัน
หลักการปฏิบัติในเบื้องต้น ผู้ที่ประสงค์จะทำการรักษาตนเองด้วยพลังจิตควรปฏิบัติตัวดังนี้
ผู้ป่วยควรเลือกทานอาหารที่เป็นยา ควรงดเว้นอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ผู้ป่วยควรสังเกตดูว่าอาหารชนิดใดรับประทานแล้วทำให้อาการแย่ลง ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์เพราะมะเร็งแต่ละชนิดมีข้อจำกัดในเรื่องอาหารแตกต่างกัน ที่อยู่อาศัยต้องสะอาด อากาศถ่ายเทสะดวก อยู่แล้วสบายใจ สบายตา อากาศต้องดีด้วย ควรอยู่ในที่ที่อากาศบริสุทธิ์สดชื่น ปราศจากมลพิษและฝุ่นควัน ผู้ป่วยควรทำจิตใจให้ผ่องใส สดชื่นอารมณ์ดี ควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้หงุดหงิดอารมณ์เสีย ถ้าหากอารมณ์ไม่ดีหรือจิตใจเศร้าหมอง ให้ปล่อยวางหรือละอารมณ์ขุ่นมัวนั้นทันที
ข้อควรจำ: มะเร็งจะหายเร็วเมื่ออาหารดี ที่อยู่ดี อากาศดี อารมณ์ดี และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
วิธีการฝึกพลังจิตรักษาโรคมะเร็ง
ในเบื้องต้นต้องทราบก่อนว่า “มะอะอุ” หมายถึงอะไร “มะ อะ อุ” คือหัวใจของพระไตรปิฎก
สำหรับคนที่จะฝึกควรรู้ตำแหน่งของจุด “มะ อะ อุ” ดังนี้ จุด“มะ” คือบริเวณหน้าอก จุด “อะ” คือบริเวณสะดือ และจุด “อุ” คือบริเวณส่วนล่างสุดของท้องน้อย (ต่ำจากสะดือประมาณหนึ่งคืบ)
การฝึกจิตแบบ “มะ อะ อุ” ให้ฝึกตอนเช้าในเวลาพระอาทิตย์กำลังขึ้น หรือตอนเย็นในเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ผู้ฝึกควรวางตนอยู่ในอิริยาบถที่สบาย อาจจะเป็นท่านั่ง ท่ายืน หรือนอนก็ได้ตามสะดวก
วิธีฝึกเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง
1. ขั้นแรกให้กำมือเอาหัวแม่มือไว้ในฝ่ามือแล้วสูดลมหายใจเข้าจนถึงจุด “มะ”กลั้นไว้สักครู่ แล้วนึกคำว่า“มะ” ในใจพร้อมกับผ่อนลมหายใจออกทางปากพร้อมกับแบมือ
2. จากนั้นให้กำมือเอาหัวแม่มือไว้ในฝ่ามือแล้วสูดลมหายใจเข้าจนถึงจุด “อะ” กลั้นไว้สักครู่ แล้วนึกคำว่า “อะ” ในใจพร้อมกับผ่อนลมหายใจออกทางปากพร้อมกับแบมือ
3. หลังจากนั้นให้กำมือเอาหัวแม่มือไว้ในฝ่ามือแล้วสูดลมหายใจเข้าจนถึงจุด “อุ”กลั้นไว้สักครู่ แล้วนึกคำว่า “อุ” ในใจพร้อมกับผ่อนลมหายใจออกทางปากพร้อมกับแบมือ
การฝึกจะแบ่งเป็น 3 ระดับของลมหายใจ
1. ลมหายใจเข้า-ออก อย่างหยาบ คือการสูดลมหายใจเข้าออกแรงๆและได้ยินเสียง ลมหายใจชัดเจน
2. ลมหายใจเข้า-ออกปานกลาง คือการสูดลมหายใจเข้าออกปกติ
3. ลมหายใจเข้า-ออกละเอียด คือการสูดลมหายใจเข้าออกแบบแผ่วเบา
ข้อควรจำ : ในการฝึกลมหายใจทั้ง 3 ระดับ ให้ทำระดับละ 9 ครั้ง
ควรฝึกแบบนี้เป็นประจำทุกวันในตอนเช้า และในตอนเย็น
วิธีใช้พลังจิตรักษาโรคมะเร็ง
(เสียดายคนตายไม่ได้ฝึก)
คำว่ามะเร็งนั้นไม่ใช่โรคที่น่ากลัว สิ่งน่ากลัวที่สุดคือจิตใจของเราเองที่ได้ปรุงแต่งสร้างหวาดความกลัวไว้ในใจเรา แล้วทำให้ให้ร่างกายของเราหลั่งสารชนิดหนึ่งไปหล่อเลี้ยงตัวมะเร็งแล้วทำให้มะเร็งขยายตัวได้เร็วขึ้น แล้วทำให้ร่างกายเราทนไม่ได้จนถึงแก่ความตายในที่สุด เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็จงอย่าสร้างความกลัวเอาไว้ในใจ คนที่มีจิตใจเข้มแข็งเท่านั้น จึงจะสามารถมีชีวิตรอดจากโรคมะเร็งได้ เมื่อจิตใจเราเข้มแข็งแล้ว มะเร็งย่อมไม่สามารถสร้างความกลัวในใจเราได้ จึงอยากให้ผู้ที่ต้องการใช้พลังจิตรักษาโรค จงละความกลัวที่เราสร้างขึ้น แม้กระทั่งความตายก็อย่าเกรงกลัว ขอให้ปล่อยวาง ถ้าเราตายมะเร็งก็ย่อมตายไปกับเราด้วยเช่นกัน แล้วเราจะกลัวไปทำไม เราจะเห็นว่ามะเร็งไม่ใช่โรคที่น่ากลัวอย่างที่เราคิดเลย สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการที่จิตใจของเราได้สร้างความกลัวขึ้นมาเองต่างหาก เมื่อรู้อย่างนี้แล้วจงเชื่อเถิดว่า มะเร็งเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทุกสรรพสิ่งในโลกนีนี้ย่อมมีของคู่กัน เมื่อมีเกิดก็ย่อมมีดับ เปรียบเหมือนกับโรคมะเร็งซึ่งพอเป็นแล้วก็สามารถรักษาให้หายได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นจงอย่าท้อแท้ จงอย่าสิ้นหวัง จำไว้ว่าคนที่มีจิตใจเข้มแข็งเท่านั้นจึงจะสามารถมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้ การใช้พลังจิตรักษาโรคทุกอย่างต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ อิทธิบาท4 และวสี5 ซึ่งจะเกิดขึ้นเองถ้าบุคคลนั้นฝึกปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน
อิทธิบาท4
ประกอบด้วยหลัก 4 ประการคือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้
1. ฉันทะ คือความรักความพอใจในการที่จะฝึกพลังจิตรักษาโรค
2. วิริยะ คือความเพียรพยายามในการที่จะฝึกพลังจิตรักษาโรค
3. จิตตะ คือการมีจิตตั้งมั่นในการที่จะฝึกพลังจิตรักษาโรค
4. วิมังสา คือการรู้จักพิจารณาใคร่ครวญในการที่จะฝึกพลังจิตรักษาโรค
วิธีใช้พลังจิตรักษาโรค
ก่อนฝึกให้ทำจิตใจให้สบาย ปรอดโปร่ง แล้วละลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วให้มีความเชื่อมั่นและละความลังเลสงสัยทั้งหมด
วิธีการฝึก
1. ทำใจให้สงบแล้วให้กำหนดลมหายใจเข้าแบบละเอียดมาที่จุด “มะ” แล้วหยุดลมไว้ตรงนั้นแล้วท่องคำว่า “มะ” ออกมาด้วยในใจ แล้วให้หายใจออกทางจมูก
2. ทำใจให้สงบแล้วให้กำหนดลมหายใจเข้าแบบละเอียดมาที่จุด “อะ” แล้วหยุดลมไว้ตรงนั้นแล้วท่องคำว่า “อะ” ออกมาด้วยในใจ แล้วให้หายใจออกทางจมูก
3. ทำใจให้สงบแล้วให้กำหนดลมหายใจเข้าแบบละเอียดมาที่จุด “อุ” แล้วหยุดลมไว้ตรงนั้นแล้วท่องคำว่า “อุ” ออกมาด้วยในใจ แล้วให้หายใจออกทางจมูก
ข้อควรจำ : ทำครบทั้ง “มะ อะ อุ” ให้นับเป็น 1 ครั้ง ให้ทำทั้งหมด 9 ครั้ง
หลังจากนั้นให้แผ่เมตตาดังนี้
ให้ผู้ฝึกใช้พลังจิตละลึกถึงบุญกุศลที่เคยกระทำมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ด้วยเดชะกุศลผลบุญแห่งข้าพเจ้าได้อุทิศไปนี้ ขอจงไปค้ำชูอุดหนุน บิดา มารดา ครู อุปัชฌาย์ อาจารย์ พระมหากษัตริย์ ญาติสนิท มิตรสหาย สัตว์น้อยใหญ่ พระภูมิเจ้าที่ เจ้ากรุงพาลี พระนางธรณี พระนางคงคา พญามัจจุราช นายนิรยะบาล นายพันธุระเสนาบดี ศิริคุทธอำมาตย์ กับทั้งท้าวจตุโลกบาลทั้ง4 ชั้นจาตุมหาราชิกา เบื้องบนจนถึงที่สุดมหาพรหม เบื้องต่ำตั้งแต่อเวจีขึ้นมาจนถึงมนุษยโลก โดยรอบสุดขอบจักรวาล อนันตจักรบาล ท่านทั้งหลายที่ต้องทุกข์ ขอให้พ้นจากทุกข์ ท่านทั้งหลายที่ได้สุข ขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไป ด้วยเดชะกุศลผลบุญแห่งข้าพเจ้าอุทิศไปนี้ ขอจงสมดังปณิธานของข้าพเจ้าด้วยเทอญ
หลังจากแผ่เมตตาเสร็จแล้วให้ฝึกต่อดังต่อไปนี้
ให้ทำจิตให้สงบระลึกเอาจิตไว้ที่จุด “อะ” ให้ลึกลงไปในสะดือประมาณ 2 นิ้ว แล้วให้ระลึกหมุนตามเข็มนาฬิกาจนเกิดเป็นความร้อน(ไออุ่นในท้อง) แล้วดึงขึ้นมาที่ผิวหนัง แล้วเคลื่อนไปที่จุด “มะ” แล้วหยุดไว้สักครู่ จากนั้นก็เคลื่อนไปที่จุด “อะ” แล้วหยุดไว้สักครู่ จากนั้นก็เคลื่อนไปที่จุด “อุ” แล้วหยุดไว้สักครู่ จากนั้นก็เคลื่อนไปที่จุด “มะ” แล้วหยุดไว้สักครู่ จากนั้นก็เคลื่อนไปที่จุด “อะ” แล้วหยุดไว้สักครู่ จากนั้นก็เคลื่อนมาที่ ศีรษะแล้วก็เคลื่อนจากศีรษะมาที่ปลายเท้าแล้วก็จากปลายเท้ามาที่ศีรษะ (เคลื่อนจากศรีษะมาที่ปลายเท้าและจากปลายเท้าขึ้นมาที่ศีรษะให้นับเป็น 1 ครั้ง) ให้ทำทั้งหมด 3 ครั้ง
หลังจากทำเสร็จแล้วให้ทำ “อะ-มะ-อะ-อุ-มะ-อะ” อีก 1 ครั้ง (โดยไม่ต้องเคลื่อนจิตจากศีรษะมาที่ปลายเท้าและปลายเท้าขึ้นมาที่ศีรษะ) แล้วให้กำหนดจิตเคลื่อนไปยังจุดที่เราต้องการรักษาโรค แล้วให้ตั้งจิตอธิฐานให้โรคที่เราต้องการรักษานั้นให้หายไป ให้ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆหลายๆครั้งตามต้องการ
หลังจากทำเสร็จแล้ว ให้ตั้งจิตไว้ในกาย เอากายไว้ในจิต ให้ตั้งไว้อย่างนั้นจนกว่าจะพอใจแล้วจึงถอนจิตออก
ถ้าฝึกอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอก็จะทำให้เกิดวสี 5 คือความชำนาญในการระลึกทั้ง 5 ประการอันได้แก่
1. มีความชำนาญในการระลึก
2. มีความชำนาญในการระลึกเข้า
3. มีความชำนาญในการระลึกตั้งมั่น
4. มีความชำนาญในการระลึกออก
5. มีความชำนาญในการพิจารณา
ขอจบเพียงเท่านี้
หน้าที่เข้าชม | 507,836 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 416,326 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ค. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 7 ก.ย. 2568 |