บนหนทางแห่งอริยมรรค
เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ วัดเชตวัน ในกรุงสาวัตถี เมืองหลวงของแคว้นโกศล ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ได้มีผู้มาปฏิบัติธรรม ณ สถานที่นี้เป็นจำานวนมาก ทุกๆวันในตอนเย็นจะมีการแสดงพระธรรมเทศนา ซึ่งมีคนจำนวนมากจากในเมืองพากันมาฟังด้วย
ในจำนวนนี้มีชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มาฟังธรรมอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาหลายปีแต่ไม่เคยปฏิบัติธรรมเลย วันหนึ่งเขามาเร็วกว่าปกติเล็กน้อย และพบว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่พระองค์เดียว เขาดีใจมากจึงรีบเข้าไปเฝ้าอย่างใกล้ชิด เขาก้มลงกราบแล้วทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้ามีปัญหาข้อหนึ่งที่ติดอยู่ในใจมาตลอดเวลาแต่ไม่กล้าทูลถามในขณะที่มีคนมาเฝ้าอยู่เป็นจำนวนมาก ขณะนี้เป็นโอกาสอันดีแล้ว ขอได้โปรดให้ความกระจ่างแก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิดพระเจ้าข้า”
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “หนุ่มน้อยท่านมีปัญหาเกี่ยวกับธรรมะอย่างไรก็ขอให้ถามมา” ชายผู้นั้นจึงกราบทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้าได้มาที่อารามแห่งนี้ต่อเนื่องกันหลายปีแล้ว ตลอดเวลาก็ได้เฝ้าสังเกตดูผู้คนที่นี่ซึ่งมีทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และพบว่ามีบางคนที่ได้บรรลุธรรมขั้นสูงแล้ว พฤติกรรมของเขาก็ดี วิถีการดำเนินชีวิตของเขาก็ดี ล้วนบ่งบอกว่าเป็นผู้ที่ได้บรรลุธรรมแล้ว และก็มีบางคนที่มีการพัฒนาทางธรรมดีขึ้นกว่าเก่า แต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่บรรลุธรรมอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ก็มีบางคน ซึ่งรวมทั้งตัวข้าพระพุทธเจ้าเองด้วย ที่ยังคงมีสภาพเช่นเดิม คือไม่มี ความก้าวหน้าเลย
คำถามที่ใคร่ขอทูลถามพระองค์ก็คือ การที่ผู้คนทั้งหลายต่างพากันมาเฝ้าพระองค์ ก็เพราะพระองค์ทรงมีพระปัญญาคุณ ทรงมีพระกรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น แต่คนที่มาเฝ้าพระองค์ก็ยังมีผู้ที่บรรลุธรรมเพียงครึ่งเดียว และที่ยังไม่บรรลุธรรมเลยก็มี เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่าพระเจ้าข้า เหตุใดจึงไม่ทรงใช้พระบารมีของพระองค์ช่วยให้ทุกคนที่มาเฝ้าได้บรรลุธรรมโดยทั่วหน้ากัน”
พระพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์ และตรัสถามชายผู้นั้นว่า “หนุ่มน้อย ท่านมาจากไหน ถิ่นกำเนิดของท่านอยู่ที่แคว้นใด” ชายหนุ่มทูล ตอบว่า “ข้าพระพุทธเจ้ามาจากกรุงสาวัตถี เมืองหลวงของแคว้นโกศล พระเจ้าข้า” พระพุทธองค์ได้ฟังดังนั้น จึงตรัสว่า “อ้อ แต่รูปหน้าของท่านบ่งบอกว่า ท่านไม่ใช่ชาวสาวัตถี ท่านจะต้องเป็นคนที่มาจากแคว้นอื่นเป็นแน่ ท่านจะต้องมาจากที่อื่น แล้วมาตั้งรกรากที่นี่” ชายหนุ่ม ยอมรับ “ถูกแล้วพระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าได้มาตั้งรกรากที่สาวัตถี เมื่อหลายปีก่อน ความจริงนั้นข้าพระพุทธเจ้าเกิดที่กรุงราชคฤห์ เมืองหลวงของแคว้นมคธ อยู่ห่างจากที่นี่ไปทางทิศตะวันออก ไกลมากอยู่”
พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นจงบอกซิว่า เมื่อท่านมาตั้งรกราก อยู่ที่นี่ ท่านได้ตัดขาดการติดต่อกับทางราชคฤห์หรืออย่างไร และท่านไม่ได้ไปราชคฤห์อีกแล้วหรือ” ชายหนุ่มทูลตอบว่า “มิได้พระเจ้า ข้า ข้าพระพุทธเจ้ายังคงมีญาติอยู่ที่นั่น และยังมีธุรกิจอยู่ที่นั่น ข้า พระพุทธเจ้ายังคงไปที่ราชคฤห์อยู่ทุกปี” พระพุทธองค์จึงทรงถามอีก ว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านก็จะต้องรู้จักเส้นทางจากที่นี่ไปราชคฤห์เป็นอย่างดีใช่หรือไม่” ชายหนุ่มทูลตอบว่า “รู้จักดีพระเจ้าข้า แม้จะปิดตา ข้า พระพุทธเจ้าก็สามารถคลำทางไปราชคฤห์ได้พระเจ้าข้า”
พระพุทธองค์ จึงตรัสถามต่อไปว่า “ถ้าเช่นนั้นเพื่อนๆ ที่สนิทของท่านที่นี่ ก็ย่อมทราบ สิว่าท่านเป็นชาวราชคฤห์ และท่านเดินทางไปเยี่ยมเยียนราชคฤห์อยู่บ่อยๆ ใช่หรือไม่” ชายหนุ่มทูลตอบว่า “ถูกแล้วพระเจ้าข้า เพื่อนๆ ที่สนิทของข้าพระพุทธเจ้าล้วนทราบความจริงข้อนี้ดี” พระพุทธองค์ ทรงรับสั่งว่า “ถ้าเช่นนั้นจงบอกซิว่า มีคนเคยถามเส้นทางไปราชคฤห์จากท่านบ้างหรือไม่ แล้วท่านได้บอกเส้นทางให้เขาไป หรือว่าท่าน เก็บไว้เป็นความลับ” ชายหนุ่มทูลตอบว่า “ความลับอะไรได้พระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าอธิบายทุกอย่างให้รายละเอียดทั้งหมดว่า ถ้าเดินทาง มุ่งหน้าไปทางตะวันออก โดยใช้เส้นทางสายนี้ เลี้ยวตรงทางนี้ จากนั้น เดินทางต่อไป ก็จะถึงเมืองพาราณสี เมื่อเดินทางต่อไปอีก ก็จะถึงเมืองคยา แล้วเดินตามทางนี้ต่อไป ก็จะถึงเมืองราชคฤห์ ข้าพระพุทธเจ้า อธิบายเส้นทางทั้งหมดให้พวกเขาฟังอย่างละเอียด”
พระพุทธองค์จึง ตรัสถามต่อไปอีกว่า “ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ฟังท่านอธิบายเส้นทางนี้แล้ว ก็จะต้องไปถึงราชคฤห์ทุกคนใช่หรือไม่” ชายหนุ่มทูลตอบว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่าพระเจ้าข้า ถ้าเขาเพียงแต่รับฟัง แต่ไม่ออกเดินไปตามทางนี้ แล้วเขาจะไปถึงราชคฤห์ได้อย่างไร”
พระพุทธองค์ทรงรับสั่งว่า “นี่คือสิ่งที่ตถาคตจะบอกกับท่านละ พ่อหนุ่ม มีคนมากมายที่มาหาตถาคต เพราะรู้ว่าตถาคตได้เดินทาง ไปบนหนทางแห่งความหลุดพ้นจนถึงจุดหมายปลายทางคือ สภาวะ นิพพานแล้ว และรู้จักหนทางนั้นเป็นอย่างดี คนเหล่านั้นจึงมาหาตถาคตเพื่อซักถามเกี่ยวกับหนทางสายนี้ ซึ่งตถาคตก็บอกให้รู้ว่านี่คือหนทางที่จะนำไปสู่สภาวะนิพพาน นี่คือวิธีที่จะเดินไปบนหนทาง สายนี้ และนี่เป็นสถานีที่จะต้องได้พบ
แต่ถ้าคนบางคนฟังแล้ว ก้มลง กราบสามครั้ง และพูดว่า สาธุ สาธุ สาธุ โดยไม่ก้าวเดินออกไปเลย แม้แต่ก้าวเดียวบนหนทางนี้ แล้วเขาจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้ อย่างไร”
พระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า “คนทุกคนจะต้องก้าวเดินไปบนหนทางสายนี้ด้วยตนเอง เพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่มีผู้ใดจะสามารถแบกใครขึ้นบ่า เพื่อพาไปให้ถึงจุดหมายปลายทางได้ แม้ ตถาคตจะชี้ทางให้ด้วยความรัก ความกรุณา และอธิบายว่าตถาคตได้เดินบนหนทางนี้อย่างไร แต่ท่านทั้งหลายต้องทำความเพียร และ ก้าวเดินไปด้วยตนเองจนบรรลุถึงจุดหมาย แต่ละคนจะต้องก้าวเดินไปบนหนทางสายนี้ด้วยตนเอง
ผู้ที่ก้าวเดินหนึ่งก้าวไปบนหนทางนี้ ก็จะอยู่ใกล้จุดหมายปลายทางเข้าไปแล้วหนึ่งก้าว ผู้ที่ก้าวเดินไปหนึ่ง ร้อยก้าว ก็จะอยู่ใกล้จุดหมายปลายทางเข้าไปอีกหนึ่งร้อยก้าว และผู้ที่ก้าวเดินไปจนสุดทางสายนี้ ก็ย่อมจะต้องถึงจุดหมายปลายทางอย่าง แน่นอน จงก้าวเดินไปบนหนทางแห่งอริยมรรคด้วยตนเอง”
ที่มา : ศิลปะในการดำเนินชีวิต วิปัสสนากรรมฐาน สอนโดยท่านอาจารย์โกเอ็นก้า (หน้า28)
หน้าที่เข้าชม | 510,733 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 419,223 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ค. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 30 ก.ย. 2568 |