การเรียกค่าครู
ในคำว่าค่าครูนั้นถ้าจะให้แยกออกมาก็พอแยกได้เป็น 3 ประเด็น คือ
1. สินน้ำใจที่ลูกศิษย์มีให้ต่อครูบาอาจารย์
2. ค่าวัสดุ อุปกรณ์ ในการทำพิธีกรรมต่าง ๆ หรือ วัตถุมงคล ต้องมีสิ่งเหล่านี้ เช่น เครื่องบวงสรวง ดอกไม้ ธูปเทียน ตลอดจนวัสดุต่าง ๆที่นำมาจัดสร้างหรือเป็นมวลสาร
3. ค่าเหนื่อยของครูบาอาจารย์ผู้จัดทำ
ครู ในที่นี้ขอแยกเป็น 2 ประเด็น
1. ครูบาอาจารย์ที่เป็นเจ้าวิชา คือเป็นเจ้าของวิชาผู้ค้นพบ คิดค้น เผยแพร่ ให้ลูกศิษย์ได้นำไปใช้
2. ครูบาอาจารย์ที่นำวิชาของเจ้าของวิชามาใช้อีกทีหนึ่ง (ตัวอาจารย์เอง)
จากเหตุผลข้างต้นที่ต้องมีการเรียกค่าครู คือ เป็นสินน้ำใจที่ศิษย์มีต่อครูบาอาจารย์อีกทั้งเป็นค่าวัสดุอุปกรณ์ ค่าเหนื่อยของผู้ประกอบพิธีกรรมหรือจัดสร้างวัตถุมงคล และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือปัจจัยที่ได้มานั้นต้องแบ่งส่วนหนึ่ง ไปทำบุญแล้วอุทิศให้กับเจ้าของวิชา เพราะท่านเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา และในการกระทำใด ๆ ทุกครั้ง ต้องอ้างอิงถึงคุณทั้ง 5 คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา และครูบาอาจารย์ นั่นคือการขอใช้บารมีของท่าน เมื่อท่านประสิทธิ์ให้แล้ว เราจึงควรทำบุญและอุทิศให้ท่านเพื่อแสดงถึงความกตัญญูกตเวที เพราะฉะนั้นเงินที่ได้จากการประกอบพิธีกรรมใด ๆ หรือให้เช่าบูชาวัตถุมงคล จึงต้องแบ่งไว้ส่วนหนึ่งด้วยเหตุผลดังกล่าว สำหรับตัวอาจารย์นั้นแบ่งเงินส่วนนี้ไว้ 10 เปอร์เซ็นต์ ของปัจจัยที่ได้มา เพื่อทำบุญอุทิศให้ครูบาอาจารย์เจ้าของวิชา อีกส่วนหนึ่งไว้ซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการประกอบพิธีกรรม หรือจัดสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ เหลือจากนั้นจึงนำมาเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว
ดังนั้นท่านใดที่ให้อาจารย์ประกอบพิธีกรรม หรือเช่าบูชาวัตถุมงคลไป ย่อมได้ในอานิสงส์ในการทำบุญของอาจารย์ทุกครั้งไป เพราะปัจจัยส่วนหนึ่งนั้นก็คือของพวกท่านนั่นเอง
และมักมีคำถามเสมอว่า แล้วตามศรัทธานี่มันเท่าไหร่กัน ขอตอบไว้ตรงนี้เลยว่า ฐานของแต่ละคนไม่เท่ากัน ย่อมให้ได้ไม่เท่ากัน จะให้เท่าไหร่นั้นให้พิจารณาว่า เงินที่ท่านนำมาประกอบพิธีกรรมหรือบูชาวัตถุมงคล อย่าทำให้ตัวเองเดือดร้อนหรือไม่สบายใจ และเมื่อได้รับวัตถุมงคลไปแล้วอย่านำไปเก็บจงนำออกมาใช้ ให้คุ้มค่ากับเงินที่ท่านได้เสียไป ตามคำแนะนำที่แนบให้ จะบังเกิดผล
อ.ทองเอก พรเทวะ
หน้าที่เข้าชม | 510,669 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 419,159 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ค. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 30 ก.ย. 2568 |