พระปัจเจกพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท
---สำหรับความปรารถนาของพระปัจเจกโพธิสัตว์ทั้งหลาย แม้ถึงจะมีบารมีเป็นปัญญาธิกะ ก็ยังต้องปรารถนาการเพิ่มพูนโพธิสมภารตลอดเวลา ๒ อสงไขยแสนกัป ไม่อาจต่ำกว่านี้ พระปัจเจกพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท คือ
---๑.พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขยแสนกัป
---๒.พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าศรัทธาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขยแสนกัป และเกินแสนกัปไปเล็กน้อย
---๓.พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าวิริยาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขยแสนกัป และเกินแสนกัปไปมากแต่ไม่ถึง ๓ อสงไขย
---ผู้ปรารถนาความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จำเป็นต้องปรารถนาสมบัติ ๕ ประการ เพื่อเกิดอภินิหารของพระปัจเจกพุทธเจ้ามี ๕ ประการ คือ
---๑.ความเป็นมนุษย์
---๒.ความถึงพร้อมด้วยเพศชาย
---๓.การได้เห็นท่านผู้ปราศจากอาสวะ คือ พระอรหันต์ทั้งหลาย อาทิ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า, พระปัจเจกพุทธเจ้า, หรือพระอรหันตสาวก ท่านใดท่านหนึ่ง
---๔.การกระทำอันยิ่งใหญ่ หรือ อธิการ
---๕.ความเป็นผู้มีฉันทะ
---พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย บำเพ็ญบารมีทั้งหลายตลอดกาลตามประเภทแล้ว ด้วยความปรารถนานี้ และด้วยอภินิหารนี้ อย่างนี้แล้วเมื่อจะเกิดในโลก ย่อมเกิดในสกุลกษัตริย์ หรือ สกุลพราหมณ์
---พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเกิดในสกุลกษัตริย์ สกุลพราหมณ์ หรือ สกุลคหบดี สกุลใดสกุลหนึ่ง
---ส่วนพระอัครสาวก ย่อมเกิดขึ้นเฉพาะในสกุลกษัตริย์ และสกุลพราหณ์เท่านั้น เหมือนอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
---พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่เกิดขึ้นในวัฏกัป คือ กัปเสื่อม ย่อมเกิดขึ้นในวิวัฏฏกัป คือ กัปเจริญ แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหมือนกัน
---พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย จะไม่เกิดขึ้นในกาลที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้น
---พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง และสอนผู้อื่นให้รู้ตามไปด้วย แต่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรู้เฉพาะตนเอง และไม่สอนผู้อื่นให้รู้ตาม
---พระปัจเจกพุทธเจ้าย่อมแทงตลอด "อรรถรส" เท่านั้น ไม่แทงตลอดตาม "ธรรมรส"
---เพราะพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ไม่อาจยกโลกุตรธรรมขึ้นสู่บัญญัติแล้วแสดง พระปัจเจพุทธเจ้าเหล่านั้น มีการตรัสรู้ธรรมเหมือน "คนใบ้เห็นความฝัน" และเหมือน "พรานป่าลิ้มรสข้าวในเมือง" ฉะนั้น
---พระปัจเจกพุทธเจ้าย่อมบรรลุธรรมในอิทธิฤทธิ์ สมาบัติ และปฏิสัมภิทาญาณทั้งหลาย เป็นผู้ต่ำกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เหนือกว่าพระสาวกโดยคุณวิเศษ
---พระปัจเจกพุทธเจ้าย่อมยังบุคคลหล่าอื่นบรรพชา ให้ศึกษาอภิสมาจารด้วยอุเทศนี้ว่า พึงทำความขัดเกลาจิต ไม่พึงท้อถอย และเมื่อจะทำอุโบสถโดยเพียงกล่าวว่า "วันนี้เป็นวันอุโบสถ และจะทำอุโบสถย่อมประชุมกันที่รัตนมาลา โคนต้นไม้มัญชูกะ บนภูเขาคันธมาทน์"
หน้าที่เข้าชม | 507,754 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 416,244 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ค. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 7 ก.ย. 2568 |