พระคุณานันทเถระกับภูมิปัญญาการดีเบตโต้วาทะเพื่อแก้ปัญหาทางศาสนา
ในประวัติศาสตร์พุทธศาสนายุคใหม่ของศรีลังกา มีเหตุการณ์การต่อสู้เพื่อประลองภูมิทางปัญญาโดยใช้วาทศิลป์ระหว่างพระคุณานันทะแห่งศรีลังกากับบาทหลวงผู้เข้ามาสอนศาสนาคริสต์ในศรีลังกา นับเป็นเหตุการณ์การโต้วาทะทางศาสนาครั้งแตกหักระหว่างศาสนาพุทธกับศาสนาคริสต์ในศรีลังกา ถือเป็นการใช้การอภิปรายโต้วาทะเป็นอุบายวิธีของการแก้ปัญหาความคงอยู่ของพุทธศาสนาอย่างได้ผล
พระคุณานันทะ เป็นชาวสิงหลโดยกำเนิด มีชีวิตอยู่ในช่วงที่ประเทศศรีลังกาตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ซึ่งในช่วงนั้นพุทธศาสนาที่ชาวศรีลังกาส่วนใหญ่นับถือมาเป็นเวลาช้านาน กำลังอยู่ในภาวะตกต่ำสุด แต่ศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นศาสนาของประเทศมหาอำนาจนักล่าอาณานิคมจากตะวันตกกลับเจริญรุ่งเรืองขึ้นแทนที่ และได้ทำการกดขี่ปู้ยี่ปู้ยำพุทธศาสนา
ในวัยเด็ก พระคุณานันทะ ใช้ชีวิตคุ้นชินอยู่กับวัดพุทธและโบสถ์คริสต์ จึง ทำให้ท่านได้ศึกษาเรียนรู้ศาสนาทั้ง 2 อย่างใกล้ชิด จนมีความเข้าใจหลักการพื้นฐานของทั้ง 2 ศาสนาเป็นอย่างดี คือรู้ดีทั้งพระไตรปิฎกและคัมภีร์ไบเบิล แต่ทว่ามีความใกล้ชิดสนิทแน่นแฟ้นกับศาสนาคริสต์มากกว่า เหตุว่าบ้านของท่านอยู่ใกล้กับโบสถ์คริสต์ ความคุ้นชินนี้นับว่าเป็นคุณประโยชน์และเป็นผลดีต่อภารกิจทางศาสนาที่จะต้องทำเมื่อเติบโตขึ้นต่อมาเป็นอย่างยิ่ง
ในปี พ.ศ. 2378 พระคุณานันทะในขณะเป็นเด็กชายชื่อไมเคิล ได้ตัดสินใจขอบวชเป็นสามเณร ที่วัดกุมารมหาวิหาร (วัดบนเขา) ที่เกาะโดดันดุวะ โดยมีพระโสณุตตรเถระเป็นพระอุปัชฌาย์ และได้เปลี่ยนชื่อจากว่า “ไมเคิล” ตามธรรมเนียมคริสต์ มาเป็น "คุณานันทะ" ตามธรรมเนียมพุทธ ภายหลังได้บรรพชาแล้ว ก็ได้ตั้งใจศึกษาเรียนรู้วิชาความรู้ทางศาสนาและฝึกฝนอบรมตนเองด้านการศึกษาอย่างจริงจัง จนกลายเป็นพระหนุ่มผู้ทรงภูมิความรู้ทั้งศาสตร์ทางธรรมและศาสตร์ทางโลก รวมทั้งยังมีความเชี่ยวชาญด้านวาทศิลป์ในเทศน์และโต้วาทะกับคนอื่นๆ เป็นอย่างยิ่งในสมัยนั้นด้วย
พระคุณานันทะเป็นผู้มีส่วนอย่างสำคัญในการช่วยกอบกู้พุทธศาสนาในศรีลังกาให้กลับฟื้นขึ้นได้โดยอาศัยภูมิความรู้และวาทศิลป์ของท่านเอง ทั้งนี้ก็เพราะว่าประเทศศรีลังกาในยุคนั้น จัดได้ว่าเป็นยุคมืดของพุทธศาสนาก็ว่าได้ เหตุว่าชาวพุทธถูกกดขี่ข่มเหงทั้งโดยตรงและโดยอ้อม จนทำให้ชาวพุทธหลายคนไม่กล้าที่จะแสดงตนในที่สาธารณะได้เลยว่า ตนเองเป็นพุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ ที่มีประชากรชาวคริสต์อยู่กันหนาแน่นและมีองค์กรคริสต์ปฏิบัติหน้าที่อยู่อย่างได้ผล อีกทั้งในทางการเมืองเอง เนื่องจากอำนาจการบริหารอยู่ในกำมือของคนอังกฤษที่นับถือศาสนาคริสต์ จึงเป็นไปได้ยากมากๆ ที่ชาวพุทธจะมีสิทธิ์และมีเสียงอะไรได้มาก จึงทำให้ในวงการข้าราชการ ตำแหน่งดีๆ และมีอำนาจทางการบริหาร มักถูกสงวนเอาไว้ให้แก่ประชากรที่เป็นชาวคริสต์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ชาวพุทธที่คิดหวังความเจริญก้าวหน้าและมีหน้ามีตาในอาชีพรับราชการ จำต้องเปลี่ยนศาสนาไปเข้ารีตเป็นชาวคริสต์ก็มีอยู่มิใช่น้อย แม้ในด้านการประกอบอาชีพธุรกิจของเอกชนทั่วไป ถ้าหากแม้ผู้ประกอบการคิดหวังความราบรื่นและลดปัญหาในการดำเนินงานทางอาชีพและธุรกิจแล้วล่ะก็ การเปลี่ยนไปเข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์ถือได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดี ที่แม้ว่าจะไม่อยากเลือก แต่ก็จำเป็นต้องเลือกเพื่อความเป็นอยู่ดีและก้าวหน้า เจริญรุ่งเรือง ไม่ติดขัดในอาชีพของตนๆ
ในสมัยนั้นที่อังกฤษปกครองประเทศศรีลังกา พระภิกษุในพุทธศาสนา ถือเป็นกลุ่มบุคคลที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดกว่าใครอื่น ทั้งนี้ก็เพราะเหตุเหตุผลสำคัญที่ว่า :
1) ชาวพุทธทั่วไปต้องอยู่ภายใต้แรงกดดันของคนที่นับถือศาสนาคริสต์และข้าราชการที่นับถือศาสนาคริสต์ จึงทำให้ขาดกำลังใจและระวังตัวที่จะให้การทำนุบำรุงพุทธศาสนาและถวายการอุปถัมภ์แก่พระภิกษุทั้งหลายภายในวัดได้อย่างดี เปิดเผย โดยสะดวกเหมือนอย่างเก่าก่อนได้
2) ฝ่ายทางการอังกฤษพยายามใช้อำนาจรัฐที่มีอยู่ในศรีลังกา กดขี่เบียดเบียนคณะสงฆ์ในทุกโอกาสที่จะสามารถกระทำได้ และใช้เครื่องมือและกลไกของภาครัฐทำลายสถานภาพที่ดีงามของพระสงฆ์ในศรีลังกาอย่างนั้นอย่างนี้ให้เสื่อมศักดิ์ศรีในสายตาของประชาชนทั่วไป (discredit)
3) พระภิกษุทั้งหลายในเมืองใหญ่ๆ ของศรีลังกามักถูกพวกวัยรุ่นที่นับถือศาสนาคริสต์แสดงอาการดูหมิ่นดูแคลน และพูดจาล้อเลียนในกลางท้องถนน จนแทบไม่กล้าจะปรากฏตัวในที่สาธารณโดยสะดวกแก่ใจได้ อีกทั้งชุมชนชาวคริสต์เองก็ยังพากันให้การสนับสนุนพฤติกรรมของพวกวัยรุ่นที่ได้กระทำการเช่นนั้นต่อพวกพระภิกษุด้วย
4) ยิ่งไปกว่านั้น ทางการอังกฤษได้ประกาศห้ามมิให้ชาวพุทธทั้งหลายประชุมกันเพื่อประกอบพิธีทางศาสนา วันสำคัญทางพุทธศาสนาที่เคยเป็นวันหยุด ก็ได้ถูกยกเลิกมิให้เป็นวันหยุดราชการ แต่วันสำคัญทางศาสนาคริสตกลับได้รับการกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการได้ มีการห้ามมิให้มีการฉลองเทศกาลสำคัญๆ ของชาวพุทธ เช่น วันวิสาขบูชา เป็นต้น ขณะที่เทศกาลของศาสนาคริสต์กลับให้การส่งเสริมให้ทำการเฉลิมฉลองได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น ในเมืองใหญ่ๆ กิจกรรมทางศาสนาของชุมชนชาวคริสต์ จึงได้ผุดเพิ่มขึ้นราวกับดอกเห็ดในฤดูฝน ขณะที่กิจกรรมทางฝ่ายพุทธกลับอยู่ในสภาพที่เงียบเหงาและวังเวง วัดพุทธบางแห่งต้องถูกทำให้รกร้างลง ที่ดินและทรัพย์สินของวัดพุทธศาสนาได้ถูกยึดเอาไปเป็นของชาวคริสต์หรือของรัฐ
พุทธศาสนาในสมัยนั้น จึงต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันในทุกๆ ด้าน และสรรพปัญหาที่เพิ่มพูนทับถมมากขึ้นทุกวี่วันนั้น ก็ได้มีท่าทีว่า จะฉุดลากพระศาสนาให้จมดิ่งลงสู่ความตกต่ำและเสื่อมสูญอย่างไม่มีทางจะหยุดยั้งได้
ท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้ายของพุทธศาสนาดังได้กล่าวแล้วนั้น ศาสนาคริสต์ทุกนิกายและทุกสาขาของคริสตจักร ต่างก็พากันพยายามทำลายพุทธศาสนาในศรีลังกาอย่างเต็มที่ เพราะได้แรงสนับสนุนทั้งจากภายในและภายนอก ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน โดยร่วมมือกันผลักดันอย่างสุดฤทธิ์เพื่อให้ได้ชัยชนะขั้นสุดท้าย คือ การทำลายล้างพุทธศาสนาให้หมดสิ้นซากไปจากแผ่นดินศรีลังกา และนำเอาศาสนาคริสต์เข้ามาแทนนั่งแท่นในหัวใจของชาวศรีลังกาทั้งหมดให้จงได้ ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ขณะที่พุทธศาสนากำลังอ่อนลงไปเรื่อยๆ ในช่วงที่อังกฤษปกครองศรีลังกา ศาสนาคริสต์กลับมีความเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ
แต่แล้วสถานการณ์ก็เข้าข้างพุทธศาสนาในศรีลังกาสมัยใหม่ เมื่อสามเณรคุณานันทะได้ย้ายจากวัดเดิมในอำเภอกอลล์มาอยู่ที่เมืองโคลัมโบ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของศรีลังกาและเป็นป้อมปราการด่านสำคัญของศาสนาคริสต์ในประเทศศรีลังกา และ ณ พัทธสีมาวัดทีปทุตตารามแห่งนี้นี่เอง สามเณรคุณานันทะได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุในปี พ.ศ. ๒๓๘๗ (อายุ ๒๑ ปี) ซึ่งในช่วงเวลานั้น ศาสนาคริสต์ได้ปฏิบัติการเผยแผ่ศาสนาในเชิงรุกแบบรุนแรงมาก วิธีที่บาทหลวงนิยมทำกัน ก็คือ มุ่งโจมตีพุทธศาสนาในทุกรูปแบบ ทั้งวิธีการใช้การเขียนหนังสือหรือตีพิมพ์บทความและวิธีการใช้การแสดงเทศนาเชิงวิพากษ์-วิจารณ์พุทธศาสนาในที่สาธารณะ ทั้งนี้เพื่อช่วงชิงพุทธศาสนิกไปสู่คริสตศาสนา
แต่ในช่วงเวลานั้น พระคุณานันทะก็ได้มองเห็นการมุ่งร้าย โจมตี และทำลายพุทธศาสนาของพวกบาทหลวงในศาสนาคริสต์ จึงได้เริ่มปฏิบัติการต่อต้านศาสนาคริสต์อย่างจริงจังบ้างแล้วเช่นกัน วิธีการที่ท่านนำมาใช้นั้น ซึ่งดูออกจะผิดแปลกแหวกแนวจากที่ชาวพุทธคุ้นเคยกันบ้าง คือ ตามปกตินั้นชาวพุทธจะใช้วิธีการนิ่งสงบและอ่อนน้อมถ่อมตน แม้ว่าจะถูกโจมตีด่าว่าอย่างไร ก็มักจะเอาแต่ "วางอุเบกขา" เป็นหลัก สถานการณ์หนักหนาสาหัสนัก ก็ใช้วิธีหลีกหนีไปทางอื่นเสีย ไม่นิยมการเผชิญหน้าหรือโต้ตอบกันตรงๆ แต่ทว่าวิธีการที่พระคุณานันทะนำมาใช้นั้น ซึ่งไม่เพียงได้ทำให้ฝ่ายคริสต์ตกใจและงุนงงมากเท่านั้น แต่ยังทำให้ฝ่ายพุทธด้วยกันเองก็ถึงกับ "ช็อค" เช่นกันในระยะแรก แต่ต่อมาก็ได้ปลุกเร้าให้เห็นภัยอันตรายที่กำลังถาโถมเข้ามาโดยรอบด้านแก่พุทธศาสนา และทำให้ชาวพุทธมากมายได้เกิดมีกำลังใจแบบไม่ท้อแท้สิ้นหวังอีกต่อไป ซึ่งก็คือวิธีการดังต่อไปนี้ :
1) วิธีการแบบ "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" แต่กระนั้นก็อยู่ในกรอบแห่งธรรมและยึดหลักอหิงสาโดยเคร่งครัด อันจะไม่มีการใช้ความรุนแรงหรือสนับสนุนความรุนแรง ไม่มีการกล่าวร้ายป้ายสี และไม่มีการใช้วิธีการสกปรก อย่างใดๆ ถึงกระนั้นก็มีลักษณะ "ถึงลูกถึงคน " ในการวิธีการต่อสู้ยิ่งนัก คือ ถ้าฝ่ายคริสต์เขียนบทความโจมตีพุทธศาสนา ท่านก็เขียนบทความปกป้องพุทธศาสนาและวิพากษ์-วิจารณ์ฝ่ายคริสต์ตอบโต้บ้าง ถ้าฝ่ายคริสต์แสดงเทศนาด่าว่าพุทธศาสนา ท่านก็แสดงธรรมชี้ข้อบกพร่องของคริสตอย่างดุเดือดเลือดพล่านตอบโต้ด้วยเช่นกัน ท่านไม่ยอมปล่อยให้บาทหลวงหรือนักสอนศาสนาคริสต์ได้มาปู้ยี่ปู้ยำหรือทำกับพุทธศาสนาได้ตามอำเภอใจฝ่ายเดียวอีกต่อไป
2) วิธีการแบบแสดงวาทศิลป์เพื่อปราบปรัปวาท ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากว่าพระคุณานันทะเองมีพรสวรรค์ในเชิงวาทศิลป์เป็นอย่างมาก ชนิดที่ว่าไม่มีใครในยุคนั้นจะทัดเทียมเทียบเท่าได้ การโต้ตอบเชิงวาทศิลป์ของท่านจึงเต็มไปด้วยสีสันและรสชาติดุเด็ดเผ็ดมันในเชิงเหตุผล นับว่าถึงใจพระเดชพระคุณเป็นที่สุด
ในยุคที่ศาสนาคริสต์กำลังรุ่งเรือง แต่พุทธศาสนากลับอยู่ในภาวะตกต่ำดิ่งลงเหวอยู่ในประเทศศรีลังกานั้น บาทหลวงและนักสอนศาสนาคริสต์ในศรีลังกา ต่างก็ถือเป็นแฟชั่นว่า จะต้องเขียนหรือเทศนาโจมตีพุทธศาสนาเพื่อแสดงให้สาธารณชนได้เห็นว่า ศาสนาคริสต์นั้นดีกว่า เหนือกว่า และยิ่งใหญ่กว่าพุทธศาสนา การที่สามารถกดขี่และเหยียดหยามพุทธศาสนาได้ ถือเป็นการสร้าง "ผลงาน" อันน่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่บาทหลวงและบริวารต่างก็มุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ให้ปรากฏในฐานะเป็นความดีความชอบและเป็นหน้าเป็นตาของตนหรือองค์กร
ดังนั้น ประเทศศรีลังกาในสมัยของพระคุณานันทะจึงเกลื่อนกล่นไปด้วยบาทหลวง นักสอนศาสนาคริสต์ และบริวาร ที่พากันก่นด่าประณามหยามเหยียดพุทธศาสนาในลักษณะต่างๆ ทั้งในรูปแบบข้อเขียนและการเทศนา แต่ฝ่ายพุทธแทบจะมีเพียงพระคุณานันทะเท่านั้นที่ได้หาญกล้าเข้าไปต่อกรด้วยกับพวกเขาในแบบไม่เกรงกลัวต่อหน้าอินทร์หน้าพรหมเลย และโดยที่การต่อสู่ของท่านเป็นไปในลักษณะ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” และ “แสดงวาทศิลป์เพื่อปราบปรัปวาท” ดังที่ได้กล่าวแล้วนั้น ภารกิจในการโต้ตอบ คัดค้าน และต่อสู้กับบรรดาผู้ไม่หวังดีต่อพุทธศาสนาเช่นนั้น จึงหนักหนาสาหัสสากรรจ์ยิ่งนัก แต่ท่านก็เป็นประดุจพญาราชสีห์ที่โผทะยานเข้าไปในท่ามกลางฝูงหมาป่า ไม่มีนักสอนศาสนาคริสต์ท่านใดที่ใส่ร้ายและลบหลู่ดูหมิ่นพุทธศาสนา จะรอดพ้นจากการโต้ตอบอย่างสาสมได้ของท่าน ปฏิบัติการของท่านได้ก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนในวงการศาสนาในประเทศศรีลังกาโดยทั่วไป จนมีผู้เขียนพรรณนาถึงท่านไว้ว่า " ท่านทำให้พวกชาวคริสต์หวาดผวา ประหนึ่งนักย่องเบาเห็นพระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นขึ้นมาฉะนั้น” ซึ่งหมายความว่า นักย่องเบานั้นชอบความมืด ยิ่งมืดมากก็ยิ่งชอบ จะได้ย่องเบาเอาทรัพย์ของคนอื่นไปได้โดยสะดวก แต่นักย่องเบาจะกลัวแสงสว่าง เพราะฉะนั้น เมื่อพระจันทร์เต็มดวงขึ้นมา ก็จะกลัวเจ้าของทรัพย์เห็นตนเข้า ต้องรีบหนีไป
พระคุณานันทะในสมัยนั้น นับว่าท่านเป็นผู้อยู่ในฐานะผู้จะตอบโต้ความก้าวร้าวรุกรานของพวกชาวคริสต์ได้ดีกว่าใครๆ อื่น ก็เพราะเหตุว่า :
1) ท่านมีคุณสมบัติด้านความพร้อมในตนหลายประการสำหรับภารกิจนี้ยิ่งกว่าพระเถระท่านใดในขณะนั้นอย่างเห็นได้ชัด
2) ท่านมีความรู้ในพุทธศาสนาอยู่ในระดับแนวหน้า ที่ "เกินพอ" ต่อการที่จะงัดเอาความรู้เหล่านั้นมาเป็นอาวุธ เพื่อตอบโต้การก้าวร้าวรุกรานของฝ่ายชาวคริสต์ได้โดยไม่ยากเย็น
3) ท่านเป็นนักเขียนและนักพูดที่เก่งกล้าสามารถเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะความสามารถในการพูดนั้นถือได้ว่าท่านเป็นหนึ่งแห่งยุคสมัย คุณสมบัติข้อนี้นับว่ามีความสำคัญยิ่ง เพราะถ้าหากขาดการมีความสามารถในเชิงวาทศิลป์เสียแล้ว แม้จะมีความรู้อยู่มากมายในตนเพียงใด ก็ไม่อาจทำหน้าที่เป็นตัวแทนของฝ่ายชาวพุทธในศรีลังกาไปโต้ตอบกับฝ่ายชาวคริสต์ต่อหน้าสาธารณชนได้เลย
4) ท่านมี "ไฟ" ในการอุทิศตนทำงานเพื่อพุทธศาสนาและประเทศชาติ ถือเป็นไฟที่ลุกโชนอยู่ในจิตใจของท่านอย่างไม่สร่างซา จนตราบวาระสุดท้ายของชีวิตท่าน ไฟนี้ได้ผลักดันให้ท่านทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ปลุกเร้าจิตสำนึกของท่านให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาและกระตุ้นให้ท่านออกไป "ไล่ล่า" หาพวกบาทหลวงและบริวารที่บังอาจย่ำยี โจมตี และทำลายพุทธศาสนา เพื่อโต้ตอบกลับให้สาสมกับพฤติกรรมของบุคคลเหล่านั้น คือ เมื่อรู้ว่าบาทหลวงหรือนักสอนศาสนาคริสต์ไปเทศนาประณามหยามเหยียดพระพุทธศาสนาอยู่ ณ ที่ใด หรือตีพิมพ์บทความก้าวร้าวรุกรานต่อพุทธศาสนาเอาไว้อย่างไร ท่านก็เป็นต้องแสดงธรรมหรือเขียนบทความตอบโต้อย่างสมน้ำสมเนื้อกับการกระทำให้จงได้ จนในที่สุด ท่านถึงกับตั้งแท่นพิมพ์ขึ้นที่วัดทีปทุตตารามเพื่อการโต้ตอบโดยเฉพาะ ท่านพร้อมเสมอที่แม้ว่าจะต้องบุกไปโต้ตอบถึง "รัง" หรือ “โบสถ์” ของชาวคริสต์เองก็ตาม
ครั้นเมื่อพระคุณานันทะได้ประกาศตนว่า จะทำการกอบกู้และปกป้องพุทธศาสนาจากการก้าวร้าวรุกรานของศาสนาคริสต์โดยใช้ปัญญาให้เป็นอาวุธแล้ว ท่านก็ได้ทำให้เกิดการประลองทางปัญญาผ่านการโต้วาทะกันขึ้นบาทหลวงชาวคริสต์ถึง 5 ครั้ง ในช่วงระยะเวลา 9 ปี ดังนี้
ครั้งที่ 1 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2408 การโต้วาทะกนส่งผลให้ชาวพุทธที่เคยท้อแท้และหมดหวังต่างเริ่มมีความหวังในการกอบกู้พระพุทธศาสนาขึ้นมาบ้าง และมีความเชื่อมั่นในสิ่งที่พระคุณานันทะได้กระทำมากขึ้น
ครั้งที่ 2 ในเดือนสิงหาคม 2408 การโต้วาทะกันส่งผลให้ผู้ฟังทั้ง 2 ศาสนาที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นนั้นเกิดความตื่นตัวและสนใจเข้ารับฟังการโต้วาททางศาสนากันอย่างกว้างขวางมากขึ้น
ครั้งที่ 3 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2409 การโต้วาทะกันส่งผลให้บาทหลวงในศาสนาคริสต์เข็ดขยาด ไม่กล้าที่จะมาตอแยกับพระคุณานันทะเป็นเวลานานถึง 5 ปี การย่ำยีพุทธศาสนาในที่สาธารณะก็หมดไป แม้ว่าการโจมตีทั่วไปจะยังไม่หมดไปก็ตาม
ครั้งที่ 4 ในเดือนมกราคม 2414 การใต้วาทะกันส่งผลให้บาทหลวงในศาสนาคริสต์มีความเข็ดหลาบในการโต้วาทะทางศาสนาและต้องกลับไปปรับปรุงกระบวนทัพใหม่ในที่ตั้งของตนๆ
ครั้งที่ 5 ในเดือนสิงหาคม 2416 การโต้วาทะกันเป็นการโต้วาทะทางศาสนาครั้งที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งได้ทำให้เกิดผลกระทบต่อความเป็นความตายของศาสนาทั้ง 2 มากที่สุด เหตุว่าเกิดจากการที่ศาสนาคริสต์ได้กล่าวจ้วงจาบและย่ำยีพุทธศาสนาอย่างรุนแรง พระคุณานันทะจึงได้กล่าวเชิญฝ่ายชาวคริสต์มาโต้วาทะกัน ณ เมืองปานะดุระ โดยแบ่งเวลาโด้วาทะกันออกเป็น 2 วัน รวม 4 รอบ ผลที่เกิดขึ้นจากการโต้วาทะทางศาสนากันในครั้งนี้ ก็คือ บาทหลวงในศาสนาคริสต์พ่ายแพ้อย่างราบคาบ ไม่กล้าที่จะมาเผชิญหน้ากับพระคุณานันทะอีกต่อไป และยังมีผลทางบวกอันยิ่งใหญ่ต่อพุทธศาสนาขึ้นอีก ดังนี้
1) มีการตีพิมพ์และแปลบทโต้วาทะเป็นภาษาอังกฤษโดยหนังสือพิมพ์รายวัน Time of Ceylon และภาษาอื่นๆ อีกหลายภาษา
2) ชาวอเมริกันคนหนึ่ง ชื่อ เฮนรี สตีล โอลกอตต์ (Henry Steel Olcott) ได้ไปอ่านพบเข้า และต่อมาได้มีบทบาทในการผลักดันการแก้กฎหมายต่างๆ เช่น ให้อังกฤษยกเลิกกฎหมาย ห้ามชาวพุทธประกอบพิธีกรรมในวันสำคัญทางศาสนาของตน ดังนั้น ชาวพุทธจึงกลับมาทำพิธีเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชาได้เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2428 หลังจากว่างเว้นมายาวนาน
3) ชาวคริสต์ที่มาร่วมฟังการโต้วาทะในครั้งนั้น บางคนถึงกับเสื่อมศรัทธาจากศาสนาของตน แล้วได้หันมานับถือพุทธศาสนาด้วยความสมัครใจ
4) การข่มเหง เบียดเบียน ทำลายชาวพุทธ โดยศาสนาคริสต์ ก็ได้หมดสิ้นไป
กรณีการใช้วิธีการดีเบตโต้วาทะกันของคู่ตรงข้ามเพื่อให้รู้แพ้-รู้ชนะกันไปข้างหนึ่งระหว่างพระคุณานันทะกับบาทหลวงในศาสนาคริสต์ในประเทศศรีลังกาสมัยที่อังกฤษปกครองศรีลังกาดังกล่าวแล้วนั้น ทำให้นึกถึงข้อเสนอของ ฯณฯ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ภายหลังได้เดินทางกลับจากสหรัฐอเมริกา อยากให้มีการดีเบตโต้วาทะของคู่ขัดแย้ง 2 ฝ่าย เรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 ของประเทศไทย เพื่อให้ประชาชนตัดสิน ซึ่งคู่ตรงข้ามต่างขานรับ แต่ทว่าอีกฝ่ายหนึ่งออกมากลับคำพูดว่าไม่อยากดีเบตโต้วาทะด้วย เกรงว่าจะมีผลเสียมากกว่าผลดีนั้น ถ้าดีเบตโต้วาทะกันได้ ผมว่าก็เข้าท่าดีนะ เป็นวิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งในศาสนาวิธีการหนึ่งที่นิยมนำมาใช้ในสมัยโบราณ ทั้งพระพุทธเจ้า พระนาคเสน พระอัศวโฆษ พระวสุพันธุ พระทินนาคะ พระธรรมกีรติ ฯลฯ ในสมัยโบราณ ต่างก็เคยนำมาใช้ และเคยใช้ได้ผลมาแล้วทั้งสิ้น ซึ่งนี่ไม่นับรวมพระคุณานันทะในศรีลังกาเมื่อร้อยกว่าปีตามที่กล่าวมาแล้วครั้งล่าสุดครับ
เอ๊า..! ถ้าแน่จริงในหลักฐาน ข้อมูล เหตุผล และวาทศิลป์ของตนกันแล้วล่ะก็ ลองประลองกันหน่อยก็ได้ครับ อาจแก้ปัญหาความขัดแย้งกันได้บ้างก็ได้ แต่ถ้าไม่เอาก็ไม่เป็นไรนะ ก็แค่เสนอแนวคิดเชิงปฏิบัติตามที่เคยมีมาในสมัยโบราณเล่นๆ เท่านั้นแหละ..!
หน้าที่เข้าชม | 507,754 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 416,244 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ค. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 7 ก.ย. 2568 |