ข้อห้าม (คะลำ) กับภูมิปัญญาในการสอนลูกศิษย์ของครูหมอ
ในทุกท้องถิ่นที่ ผู้คนในท้องถิ่นนั้นๆ จะมีภูมิปัญญาที่สั่งสมมาเป็นของตนเอง ซึ่งภูมิปัญญาที่ว่าก็เป็นเรื่องว่าด้วยความรู้ แนวคิด ความสามารถ และเทคนิควิธี เพื่อการบางอย่างในทางสังคม โดยเฉพาะการบอกกล่าวให้รู้ การขัดเกลาให้เป็นคนดี และการแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ให้ผ่านพ้นลุล่วงไปได้ด้วยดี ภูมิปัญญาท้องถิ่นเท่าที่พบเห็นมักถูกนำมาใช้ในรูปของการ “บอกแนะให้กระทำการบางอย่าง” และการ “บอกกล่าวให้ละเว้นกระทำการบางอย่าง” ใครที่สามารถกระทำตาม “สิ่งที่บอกแนะให้กระทำ” และ “สิ่งที่บอกกล่าวให้ละเว้น” นั้นๆ ได้ เขาหรือเธอนั้นๆ ก็จะจัดว่าเป็น "คนดี" ตามภูมิปัญญาท้องถิ่นแต่ละแห่งที่
สิ่งที่บอกกล่าวให้ละเว้น มักรู้กันในชื่อว่า “ข้อห้าม” ซึ่งแต่ละท้องถิ่นที่ก็จะเรียกชื่อข้อห้ามที่ว่านี้แตกต่างกันไป เช่น คนภาคกลาง เรียกว่า “ข้อห้าม” คนภาคเหนือ เรียกว่า “ขึด” คนภาคอีสาน เรียกว่า “คะลำ” คนชาติพันธุ์ไทดำ เรียกว่า “กำ” เป็นต้น
สังคมไทยเป็นสังคมที่มีข้อปฏิบัติว่าด้วยความเชื่อหลากหลายด้าน ลูกศิษย์กับอาจารย์ก็ไม่มียกเว้น โดยข้อปฏิบัติที่สำคัญมีว่า ลูกศิษย์ที่ดีจะต้องมีครูคอยเป็นผู้บอกแนะและบอกกล่าว ครูในฐานะหมอที่เรียกว่า “ครูหมอ” ผู้ที่ต้องเกี่ยวข้องกับคติความเชื่อด้านความขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ ก็มักจะนำเอาภูมิปัญญาว่าด้วย “ข้อห้าม” มาใช้กับลูกศิษย์ของตนๆ ผู้ที่มีความอยากขลัง-อยากศักดิ์สิทธิ์ในตนเอง จึงได้มาเรียนรู้คาถาอาคมกับครูหมอของตน หรือให้ครูหมอของตนสักยันต์ลงอาคมขลังให้ตามร่างกายตนนั้นๆ โดยการให้ลูกศิษย์แต่ละคนถือปฏิบัติตามข้อห้ามด้านอาหารการกิน เช่น ห้ามกินน้ำเต้า ฯลฯ ในฐานะเป็นภูมิปัญญาว่าด้วยการสอนของครูหมออย่างหนึ่ง การห้ามกินน้ำเต้าเช่นว่านี้จะเป็นข้อห้ามอย่างหนึ่งในบรรดาข้อห้ามอื่นๆ อีกหลายอย่างที่ลูกศิษย์จะต้องถือปฏิบัติตามคำสั่งห้ามของครูหมอโดยเคร่งครัด ทำไมครูหมอจึงต้องห้ามมิให้ลูกศิษย์ผู้ที่มาเรียนรู้คาถาอาคมหรือสักยันต์ลงอาคมบนร่างกายของตนนั้นๆ กินลูกน้ำเต้า? เราลองมาศึกษาวิเคราะห์และอธิบายความเกี่ยวกับความหมายของข้อห้ามนี้ของครูหมอกันดูหน่อยครับ ดังนี้
1) ห้ามมิให้กินน้ำเต้า เพราะถือว่า น้ำเต้าเป็นไม้เรื้อยที่มียอดไหลเรื้อยออกไปเรื่อยๆ จึงมีคุณสมบัติทำปฏิกิริยาลบล้างมนต์ที่เสกที่ท่อง หรือลบล้างว่านที่ผสมลงในหมึกหรือน้ำมัน แล้วจึงทำการสักทางผิวหนัง โดยการขับมนต์ ว่าน หมึก น้ำมันที่สักแล้วๆ ให้ไหลออกไปทางเหงื่อหรือปัสสาวะได้ เหมือนดังกิริยาของไม้เรื้อยที่ยอดจะไหลเรื้อยออกไปเรื่อยๆ ได้ฉะนั้น ดังนั้น ลูกศิษย์คนไหนกินลูกน้ำเต้า จึงเชื่อว่าของขลังของศักดิ์สิทธิ์ที่ท่องหรือที่สักลงบนผิงหนังนั้นๆ จะไหลออกและทำให้เสื่อมความขลัง-ความศักดิ์สิทธิ์ หรือทำให้หนังไม่เหนียวตามที่ปรารถนาได้
ด้วยเหตุนี้ น้ำเต้าจึงเชื่อกันว่าเป็นพืชผักล้างอาถรรพ์ได้ ครูหมอจึงได้สอนลูกศิษย์เพื่อให้คงความขลัง-ความศักดิ์ในตนไว้ให้ได้นาน โดยผ่านภูมิปัญญาว่าด้วยข้อห้ามมิให้กินน้ำเต้า
2) ห้ามมิให้กินน้ำเต้า เพราะถือว่าการห้ามกินของต้องห้ามกิน ที่อาจเรียกว่า “ข้อห้าม คะลำ ขึด หรือกำ” ในแต่ละท้องถิ่นที่ของสังคม-ชุมชน เป็นอุบายวิธีการสอนของครูหมอ อันเนื่องมาจากคตินิยมที่ว่า ศิษย์ดีต้องมีครู คล้ายดั่งที่ศรีปราชญ์เชื่อ (อันธรณีนี่นี้ เป็นพยาน เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง เราผิดท่านประหาร เราชอบ เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนอง) การเคารพเชื่อฟังครูจึงเป็นเรื่องสำคัญในประเพณีนิยมการศึกษาสมัยโบราณ และคนที่เคารพเชื่อฟังครู ก็ถือว่าเป็นคนดี เมื่อเป็นคนดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพ ผีดี ย่อมคุ้มครอง ปกปักรักษา
ด้วยเหตุนี้ การห้ามกินน้ำเต้าจึงถูกนำมาใช้เป็นอุบายวิธีของการสอนลูกศิษย์เพื่อให้เป็นคนดีโดยนัย ทั้งนี้มาจากพื้นฐานทางจริยธรรมที่ว่า การทำดีมิใช่ทำได้โดยการลงมือทำดีตามข้อแนะนำปกติเท่านั้น แม้แต่การเว้นไม่ทำตามข้อห้ามก็สามารถทำให้เป็นคนดีได้เช่นกัน ถ้าปฏิบัติตามข้อห้ามนั้นๆ ได้ ครูหมอจึงปรารถนาให้ลูกศิษย์เป็นคนดี มีความขลัง-ความศักดิ์ในตน และได้รับการคุ้มครองรักษาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพ ผีดี โดยผ่านภูมิปัญญาว่าด้วยข้อห้ามมิให้กินน้ำเต้าตามที่บอกสอนลูกศิษย์อย่างนั้น
3) ห้ามมิให้กินน้ำเต้า เพราะถือว่า “น้ำเต้า” กับ “เต้านมของผู้หญิง” มีลักษณะพ้องรูปและพ้องเสียงกัน และโดยการมีลักษณะพ้องรูปและเสียงกันนี่เอง ในสมัยก่อนนั้น ตำรายาไทยโบราณจึงกำหนดให้ผู้หญิงที่คลอดลูกใหม่ แต่ไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน บอกให้คนไปนำลูกน้ำเต้าที่มากมีในท้องถิ่นไทย มาต้มกิน หรือมาแกงเลียงน้ำเต้าให้แม่ลูกอ่อนกิน จึงเรียกกันโดยลักษณะว่า “น้ำเต้า” เหตุเชื่อว่า เมื่อกินแล้ว หญิงที่เพิ่งคลอดลูกใหม่นั้นจะมีน้ำนมหลั่งออกมาให้ลูกน้อยได้ดูดดื่มกินได้
ด้วยเหตุนี้ การห้ามกินน้ำเต้าจึงถูกนำมาใช้เป็นอุบายวิธีการสอนลูกศิษย์ของครูหมอ ให้เคารพต่อสิ่งที่มีลักษณะคล้ายนมของแม่ที่ผู้เป็นลูกเคยอาศัยดูดกินน้ำนม การนำน้ำเต้าซึ่งมีลักษณะคล้ายเต้านมของแม่มากินจึงเท่ากับไม่กตัญญูต่อเต้านมของแม่ ครูหมอจึงได้สอนลูกศิษย์เพื่อให้มีความกตัญญูรู้คุณเต้านมของแม่โดยการเว้นไม่กินน้ำเต้า ผ่านภูมิปัญญาว่าด้วยข้อห้ามมิให้กินน้ำเต้า
4) ห้ามมิให้กินน้ำเต้า เพราะถือว่า มนุษย์มีกำเนิดออกมาจากท้องแม่เดียวกันแต่ดั้งเดิม คือน้ำเต้า ลูกน้ำเต้าจึงคือครรภ์แห่งท้องแม่ของตนตามแนวคิดเชิงปรัชญา ทั้งนี้ก็สืบเนื่องมาจากมีคติความเชื่อของผู้คนในตระกูลไท-ลาวว่า พวกเขาเกิดมาจากท้องแม่เดียวกัน คือ “น้ำเต้าปุง” แต่แรกเริ่ม ซึ่งแถนจากเมืองฟ้าเบื้องบนได้ให้ “ควายเขาลู่” ลงมาเพื่อใช้ทำนา-ทำไร่อยู่ ณ เมืองลุ่มเบื้องล่าง อยู่ได้ 3 ปี ควายเขาลู่ก็ตาย จากนั้นซากควายก็ได้เปื่อยเน่ากลายเป็นปุ๋ยของพืชพันธุ์ธัญญาหาร จึงมีเถาน้ำเต้างอกโผล่ออกมาทางรูจมูกควายนั้น จนเจริญเติบโตมีผลน้ำเต้าที่มีลักษณะคล้าย “ครรภ์” ของหญิงท้องแก่ใกล้คลอดเกิดขึ้น ต่อมามนุษย์มากมายก็ได้คลอดออกมาจากผลน้ำเต้านั้นจนก่อเกิดเผ่าพันธุ์มนุษย์หลายเผ่าพันธุ์ในโลก ดังนั้น จึงเชื่อกันว่า น้ำเต้า (1) เป็นแหล่งเกิดของมนุษย์จากควายที่แถนให้มา และ (2) เป็น “ครรภ์” หรือ “มดลูก” ของแม่ผู้ให้กำเนิดลูกที่เป็นมนุษย์ โดยอาจตีความได้จากรูปร่างลักษณะของผลน้ำเต้า ซึ่งมีรูปลักษณ์กลมโต ที่เว้าตอนบน นูนสูงตอนล่าง แล้วก็เรียวลง คล้ายกับครรภ์ของผู้หญิงท้องแก่ใกล้คลอด
ด้วยเหตุนี้ การห้ามกินน้ำเต้าจึงถูกนำเอามาใช้เป็นอุบายวิธีการบอกสอนลูกศิษย์ของครูหมอ ให้เคารพบูชาน้ำเต้า ซึ่งเป็น “แหล่งเกิดมนุษย์แรกเริ่ม” และเป็นดั่ง “ครรภ์หรือมดลูกของแม่ผู้ให้กำเนิดลูก” โดยมิใช้เอาแม่มากินเป็นอาหารหรือเป็นคนกินแม่ของตน ครูหมอจึงสอนลูกศิษย์ให้รู้แหล่งที่มาของตนและเคารพบูชาน้ำเต้า ซึ่งคล้ายเป็นแม่ของตน โดยผ่านภูมิปัญญาว่าด้วยข้อห้ามมิให้กินน้ำเต้า
การวิเคราะห์และอธิบายความที่ว่ามานั้นๆ น่าจะพอเป็นแนวทางของการตอบข้อสงสัยที่ว่า “ทำไมคนเรียนมนต์หรือสักยันต์ตามร่างกายจึงถูกห้ามมิให้กินน้ำเต้า” ได้บ้างกระมัง แต่นั่น...ก็เป็นเพียงทัศนะหนึ่งๆ เท่านั้นนะ ขอท่านผู้รู้ทั้งหลายช่วยชี้แนะด้วยก็แล้วกันครับ...
(ภาพประกอบจาก Internet นำมาใช้เพื่อการศึกษาเท่านั้น)
หน้าที่เข้าชม | 507,836 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 416,326 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ค. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 7 ก.ย. 2568 |