เทคนิคในการสังเกตคนเล่นของ, ของขึ้น, ปล่อยของ, ของเข้าตัว ด้วยตาเปล่า
พุทธ ศาสนาในประเทศไทย มีความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ฮินดู และไสยศาสตร์ควบคู่ขนานกันมาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ไม่ใช่แต่เพียงเชื่อถือโดยเลื่อนลอยเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน ชาวไทยพุทธจำนวนมาก กำลังแสวงหา, ปฏิบัติ, ฝึกฝน, ครอบครอง, และใช้เครื่องรางของขลัง อันเกิดขึ้นจากผลพวงของไสยศาสตร์ซึ่งไม่ใช่พุทธศาสนามากมาย
เทคนิคการสังเกตคนมีของ (เครื่องราง, ของขลัง, สิ่งศักดิ์สิทธิ์)
ใน สมัยโบราณ คนเล่นของด้วยกันจะดูกันออกไม่ยากเลย เช่น หากกินข้าวด้วยกันก็อาจสังเกตว่าไม่กินอะไร เช่น ไม่กินฟัก นี่ก็ตั้งข้อสงสัยแล้วว่าอาจเล่นของอยู่, เวลาเดินผ่านราวตากผ้าจะระวังไม่เดินลอดใต้ราวผ้า เวลากินข้าวจะพูดว่า “มากินด้วยกันเร็ว” หรือพูดเหมือนชวนใครไม่รู้ให้มากินอาหารด้วย ฯลฯ แต่ในสมัยปัจจุบัน คนเล่นของหรือมีของนั้นไม่ได้รับการสอนสั่งที่ดีจากครูบาอาจารย์ จึงไม่มีข้อระมัดระวัง เพราะคิดว่าของที่ปลุกขึ้นคงปลุกเล่นๆ บ้าง ไม่มีอะไรจริงจังบ้าง ฯลฯ แท้แล้วของที่มีความวิเศษทุกอย่างจะวิเศษได้ต้องมีพลังจิตวิญญาณอยู่ทั้ง สิ้น และเมื่อมีพลังจิตวิญญาณมาอาศัยแล้ว ปัญหาก็จะตามมาเหมือนกันเวลาเราอยู่ร่วมกับมนุษย์ด้วยกัน ก็ต้องมีการกระทบกระทั่งกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางท่านคิดว่าบูชาเอามาไว้เล่นๆ ไม่คิดอะไร คงไม่มีอะไรหรอก แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาแล้วก็ไม่รู้จะแก้อย่างไร นี่เพราะไม่มีการสอนการอธิบายให้เกิดความเข้าใจกันเลย ในส่วนต่อไปนี้จะขออธิบายวิธีสังเกตง่ายๆ เพื่อตั้งสมมุติฐาน ดังต่อไปนี้
๑)ได้รับความนิยมมากขึ้นผิดปกติ
คน ที่จู่ๆ ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างผิดปกติ เช่น จากเดิมเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน อยู่ๆ ก็เป็นข่าวดัง และกลายเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เช่น ประธานาธิบดีโอบามา ของสหรัฐอเมริกา อย่างนี้ เป็นสิ่งผิดสังเกต ไม่เหมือนกับประธานาธิบดีท่านอื่นๆ ซึ่งมีที่มาค่อนข้างชัดเจน โอบามา เคยสับสนตัวเอง เพราะต้องอยู่กับพ่อเลี้ยงชาวมุสลิมและสงสัยว่าตนเองเป็นคนประเทศอะไร ใช่อเมริกาหรือไม่ ในวัยหนุ่มก็มีการหลงผิดเสพยาเสพติด (ข้อมูลหาอ่านได้จากแหล่งสื่อทั่วไป) แต่เหตุใดคนอเมริกาจึงนิยมโอบามาจนกลายเป็นกระแสความนิยม นี่คือ ข้อสังเกตง่ายๆ ของขลังที่มีอาจมีได้ตั้งแต่ เมตตามหานิยม, กุมาร (ดลใจให้คนมาชอบ), มังกร, พลังมาร, พลังอสูร, พลังโพธิสัตว์ ฯลฯ
๒)เงินทองไหลมาเทมา หรือร่ำรวยผิดปกติ
คนเรารวยขึ้นได้เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่การเล่นของอะไรแต่อย่างใด แต่การร่ำรวยแบบผิดปกติจนอาจตั้งสมมุติฐานได้ว่า “เล่นของ” นั้น สามารถสังเกตและแยกแยะออกจากคนที่ร่ำรวยมากขึ้นแบบปกติได้ เช่น การปฏิบัติตัว และเทคนิควิธีการขายเป็นแบบเดิม แต่ทำไมขายได้ดีขึ้นอย่างไม่มีเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ตามหลักวิชาการ บางท่านยามค้าขายยาก ขายไม่ออก พยายามมากมายก็ไม่ร่ำรวยขึ้นมา แต่พออยู่เฉยๆ ไม่ได้สนใจจะขายอะไรเลยกลับขายได้ดีก็มี เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นแค่ระยะสั้นๆ เพราะของเหล่านี้จะถูกเก็บรักษาไว้นานพอควร ก่อนที่จะเสื่อมหรือสูญเสียไป ของขลัง ที่อยู่ในข่ายช่วยให้ร่ำรวยผิดปกติได้แก่ กุมาร, นางกวัก, ปลัดขิก, เมตตามหานิยม, พลังมาร, พลังอสูร, พลังโพธิสัตว์กวนอิม, พลังโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตตรัย ฯลฯ มีทั้งพลังที่ดีและไม่ดีได้ทั้งสิ้น บางท่าน ปฏิบัติธรรมอย่างไม่สนใจเรื่องไสยศาสตร์ แต่เมื่อปฏิบัติแล้วบารมีเกิด ของขลังที่เคยมีเคยได้มาแต่ครั้งอดีตกลับมาช่วยตนเอง เช่น พลังพระกวนอิม มาช่วยคนไทยเชื้อสายจีนที่อพยพมาจากเมืองจีน และต่อสู้ชีวิตทำงานอย่างขยันขันแข็ง อย่างนี้ ก็ร่ำรวยได้ผิดหูผิดตา เป็นผลจาก “ของขลัง” ที่มองไม่เห็นเช่นกันแต่เป็นพลังดี
๓)คนรอบข้างลุ่มหลง หรือกลายเป็นอภิสิทธิชน
คน ที่ได้รับอภิสิทธิ์จากคนรอบข้าง เช่น ไม่ได้รับการว่ากล่าวจากผู้ใดทั้งๆ ที่ทำผิด ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำสิ่งดีงามอันใด หากเราสังเกตดีๆ อย่างไม่ถูกของขลังเหล่านั้นครอบงำ ก็จะรู้สึกสัมผัสได้ว่า “ของขลังบางอย่างทำงานอยู่” ทำให้เขานั้นกลายเป็นอภิสิทธิชน ของขลังบางชนิดมีความสามารถในการครอบงำผู้คนให้ลุ่มหลง ผิดทิศผิดทาง ให้คนรอบข้างโง่ลง ไม่แยกแยะถูกผิดดีชั่วให้ชัดเจน และถูกหลอกได้ง่าย เช่น ในประเทศไทย เวลานัดชุมนุมคนเสื้อแดง จะนิยมทำพิธีพราหมณ์ และบูชาอสูรตนหนึ่ง แทนที่จะบูชาเทพเจ้าของฮินดูสามองค์เหมือนเก่าก่อน ก็ยกย่องเอาอสูรตนใหม่ขึ้นมา หลังจากนั้น ผู้คนที่สวมเสื้อแดงก็จะฟังความข้างเดียว ไม่สนใจข้อมูลฝ่ายตรงข้าม เป็นคนที่สนทะพายอะไรก็ได้ เชื่อหมด ไม่ว่าจะเลวร้ายอย่างไร ก็รักเสื้อแดงอย่างไม่มีเหตุผล นี่คือ อาการแสดงออกให้เห็นว่า “ถูกของครอบงำให้โง่เง่าลุ่มหลง” ของบางอย่างจะทำขึ้นจากขี้ไคลพระสงฆ์ โดยพระสงฆ์รูปนั้นจะไม่อาบน้ำทั้งปีเพื่อเก็บขี้ไคลไว้ เมื่อถึงวันทำพิธีปีละครั้งจึงอาบน้ำเอาขี้ไคลออกมาทำของขลัง เมื่อทำแล้วผู้คนจะลุ่มหลงโง่เง่าถูกหลอกได้ง่าย ศรัทธาอย่างไร้ปัญญา อย่างนี้ก็ปรากฏมีแล้วในปัจจุบัน
๔)ดูมีอาการเลื่อนลอย เหม่อลอย เหมือนไร้จิตใจ
บางขณะคนที่มีของหรือโดนของจะดูเหมือนคนเหม่อลอย เลื่อนลอย ไร้จิตใจไปในบางขณะ ที่เป็นผลจาก “จิตวิญญาณ” ที่มองไม่เห็นออกไปทำกิจข้างนอกร่างกาย เช่น เวลาคนถูกปอบเข้าตัว เมื่อปอบออกจากร่างไปหากิน จะทำให้เจ้าของร่างมีภาวะเหม่อลอยเลื่อนลอยได้ เหมือนถูกสะกดจิตเอาไว้เพื่อไม่ให้เจ้าของร่างแก้ไขอะไรได้ในขณะที่จิต วิญญาณปอบออกจากร่างไป อาการแบบนี้ สุภาษิตไทยโบราณเรียกว่า “ผีเข้าผีออก” คือ พฤติกรรมคนที่แตกต่างไปในระยะเวลาสั้นๆ เช่น เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย, เดี๋ยวเซื่องซึมเดี๋ยวมีพลัง, เดี๋ยวกระปรี้กระเปร่า เดี๋ยวเหม่อลอย ฯลฯ อาการแบบนี้ เป็นอาการที่ผิดสังเกต เห็นได้ไม่ยาก เมื่อเกิดอาการเหล่านี้ขึ้นมาแล้ว ควรสันนิฐานว่าเป็นอาการทางจิตตามหลักการแพทย์เป็นเบื้องต้น แล้วใช้หลักการแพทย์หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการพิจารณาเหตุผลที่มาของ อาการ หากวิธีทางการแพทย์ใช้ไม่ได้ผล ก็ไม่ควรดื้อรั้นใช้แต่วิธีทางการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเดียว ให้พิจารณาในแง่ “จิตวิญญาณ” ประกอบร่วมด้วย คืออาจเป็นเพราะโดนของเข้าตัว หรือของขลังที่อยู่ในตัวแสดงอาการบางอย่างออกมาก็ได้ อาการเลื่อนลอย, เหม่อลอย เหล่านี้ เกิดขึ้นได้บ่อยๆ สำหรับท่านที่มีจิตวิญญาณอาศัยอยู่ในกายมากกว่าหนึ่งดวง สังเกตเห็นได้ แต่หากเจ้าตัวรู้ทันและระวัง ก็สามารถดึงสติกลับมาได้เหมือนคนปกติ บางคนเหม่อลอยอยู่ดีๆ คนรอบข้างสังเกตเห็นเข้า ก็กลับเป็นปกติตามเดิม นี่แสดงว่าไม่ใช่เป็นโรคจิต แต่เพราะ “เล่นของ” นั่นเอง
๕)ใบหน้าอ่อนเยาว์เกินกว่าวัยปกติ หรือเสียงแก่กว่าปกติ
สำหรับ คนที่มีพฤติกรรมผิดจากวัยตามปกติ แต่ไม่ได้เสียสตินั้น สันนิฐานได้ว่ามีของขลังบางชนิดอยู่ หรือเล่นของบางชนิดอยู่ ท่านที่เล่นของที่มีอายุต่ำกว่าตัว เช่น กุมาร ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ลงได้ ท่านที่เล่นของที่มีอายุมากเกินตัว เช่น พ่อแก่ ทำให้เสียงแก่ลงได้ คนเหล่านี้ เมื่อของออกจากตัวเมื่อไร หน้าตาก็จะเปลี่ยนไป บางท่าน เดี๋ยวแก่เดี๋ยวหนุ่มดูอายุไม่ออกเลยจริงๆ ก็มี เพราะมีของหลายชนิดทั้งของที่อายุน้อยและอายุมาก ในร่างกายเดียวกัน บางทีก็มีหนวดยาวออกมาเหมือนคนแก่ชรา บางทีพอโกนหนวดก็ดูใบหน้าเหมือนหนุ่มน้อย อย่างนี้ก็มี ในกลุ่มคนทรงเจ้า ที่ทรงเจ้าเสมอๆ มักมีใบหน้าที่อ่อนกว่าเยาว์ได้โดยไม่ใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ใดๆ ในกลุ่มคนที่มีจิตวิญญาณมารและอสูรครอบงำอยู่ ก็อาจใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์เข้าช่วย เช่น คนที่มีกายเป็นชาย แต่มีจิตนางมารเข้ามาแฝงตัว ก็อาจตัดสินใจผ่าตัดแปลงเพศได้ ในชายที่มีจิตวิญญาณอสูรมาอยู่ในร่างกายด้วย บางคนอาจยอมผ่าตัดอวัยวะเพศให้ใหญ่ขึ้น, เสริมจมูกให้โด่งก็มี อะไรที่ผิดจากธรรมชาติตามปกติที่ควรจะเป็นและไม่ใช่เรื่องทางวิทยาศาสตร์ ก็สันนิฐานได้ว่าอาจมาจากเรื่องของ “จิตวิญญาณ” ซึ่งเป็นผลมาจากของขลัง หรือเล่นของนั่นเอง
เทคนิคในการสังเกตอาการ “ของขึ้น”
คน เล่นของ, มีของ หรือโดนของ เวลาของขึ้นจะมีพฤติกรรมแตกต่างไปจากเดิม เช่น มีพฤติกรรมบางอย่างมากขึ้น หรือลดลงอย่างผิดสังเกต ของชนิดต่างๆ จะขึ้นแตกต่างกันไปตามแต่ละชนิดของของนั้นๆ ที่ของขึ้นเพราะของทุกชนิดมีพลังมาก และถูกจำกัดให้อยู่ในกายสังขารของมนุษย์ผู้ครอบครอง และอาจไม่ได้ทำบางสิ่งที่เหมาะสอดคล้องกับของนั้นๆ เช่น เจ้าของกุมาร ไม่ยอมทำตัวแบบกุมาร พลังกุมารถูกสกัดกลั้น ไม่ได้รับการระบายออก วันหนึ่ง กุมารก็จะเกิดอาการของขึ้นคือ จู่ๆ อาจจะเอาร่างกายเจ้าของไปวิ่งซุกซน อยู่ๆ วิ่งขึ้นต้นมะพร้าว ได้อย่างไม่น่าเชื่อ นี่คือ “อาการของขึ้น” ที่เห็นได้ชัด แต่ของแต่ละชนิดก็ขึ้นไม่เหมือนกัน ของที่เป็นกลุ่มพลังมารและอสูร เวลาขึ้น จะขึ้นด้วยอารมณ์โมโหเกรี้ยวกราด เช่น พลังองค์กาลี เวลาของขึ้น ก็จะดุร้ายและไม่เกรงกลัวใคร พลังองค์ศิวะ เวลาของขึ้นอาจหนีออกจากสังคมไปปฏิบัติโยคะในป่าโดยไม่มีใครห้ามได้ คนที่ของขึ้นแตกต่างจากคนที่โมโหปกติ คือ เวลาของขึ้นแล้วมักไม่มีใครเอาอยู่ เพราะพลังของขลังครอบงำหรือทำให้จิตวิญญาณอื่นต้องเกรงใจ ซึ่งคนที่โมโหปกติจะไม่เป็น
เทคนิคในการสังเกตอาการ “ปล่อยของ”
เพราะเหตุ “ของขึ้น” ด้วยถูกกักกันไม่ได้ทำกิจที่ตนต้องการ อันเหมาะสมกับพลังของตน ทำให้ผู้เป็นเจ้าของของขลังนั้นๆ ต้องทำการ “ปล่อยของ” เป็นวาระๆ ไปตามโอกาส ทั้งที่จะทราบหรือไม่ทราบก็ดี แต่การ “ปล่อยของ” จะเกิดขึ้นอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เหมือนเราเลี้ยงสัตว์ดุร้าย หากกักขังไว้ตลอดเวลาก็จะเกิดการตึงเครียดมากไป จะต้องปล่อยออกไปให้อิสรเสรีบ้าง เรียกว่า “ปล่อยของ” เช่น ในคนที่เลี้ยงพรายกระซิบ ก็ต้องมีวาระที่จะปล่อยพรายออกไปหากินเองอย่างเสรีบ้าง เมื่อปล่อยออกไปแล้ว ชาวบ้านรอบข้างก็จะได้รับความเดือดร้อนจากผีพรายนั้น เช่น เป็ดไก่, วัวควาย เป็นโรคตายพร้อมกันมากๆ ผิดปกติ สิ่งเหล่านี้เป็นไปตามวัฏสงสาร ไม่อาจห้ามได้ เฉกเช่น กบกินแมลง, งูกินกบ และเหยี่ยวกินงู เป็นต้น สรรพสัตว์หลงอยู่ในวัฏสงสารแห่งการกินกันเป็นทอดๆ อย่างนี้ แม้แต่ของขลังที่ผู้คนเลี้ยงไว้ก็ต้องกิน เช่น ผีพรายก็ต้องกินอาหารแบบผีพราย, ปอบก็ต้องกินอาหารของปอบ, กุมารก็ต้องกินอาหารของกุมาร, มังกรก็ต้องกินอาหารแบบมังกร ฯลฯ ผู้เลี้ยงที่เข้าใจย่อมจะรู้ดีว่าของของตนไปกินอะไรของใครเขามาบ้าง ก็จะรับผิดชอบให้ความเมตตาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบเหล่านั้น การปล่อยของมีหลายวิธี บางท่านปล่อยโดยไม่รู้ตัวในเวลากลางคืน บ้างจะกักไว้ก่อน แล้วหาที่ปล่อยของ ในเว็บไซต์บางเว็บก็มีคนเล่นของมาปล่อยของกันมากมายเวลาถกเถียงกัน สำหรับคนที่ไม่ระวังเมื่อปล่อยของ ของออกไปแล้วไม่กลับคืน ของที่เคยมีก็เสื่อมไปก็มี เช่น คนที่ไปปรามาสผู้มีธรรมมากกว่า พวกเขาจะเสียของขลังให้แก่ผู้มีธรรมมากกว่าไป
เทคนิคในการสังเกตอาการ “ของเข้าตัว”
อาการ ของเข้าตัวนี้ ปกติ ของขลังจะอยู่ในตัว คือ ในกายสังขารของเจ้าของผู้เลี้ยง ผู้ครอบครองอยู่แล้ว แต่เราจะยังไม่ถือว่าเข้าข่ายที่เรียกว่า “ของเข้าตัว” จะเรียกว่าถูกของของตัวเองเข้าตัวก็ต่อเมื่อ ของที่อยู่ในตัวของตนเองนั้น ครอบงำจนจิตของเจ้าของไม่อาจควบคุมได้ดังเดิมอีกต่อไป อย่างนี้ จึงเรียกว่า “ของเข้าตัว” แล้ว เช่น ในคนที่เลี้ยงผีพรายกระซิบ ถูกพรายกระซิบเข้าตัว จนไม่อาจควบคุมตัวเอง ต้องทำตามที่พรายกระซิบต้องการจะมีอาการผิดแปลกไปจากปกติที่เคยเป็น บางครั้งบางคราวผู้มีของขลังเหล่านี้ต้องหาทางสายกลางที่จะไปร่วมกันได้กับ ของของตนเอง เช่น พระสงฆ์สายมหายานจะไม่เคร่งครัดศีลมาก เพราะบางครั้ง จะมีจิตวิญญาณชั้นต่ำเช่น อสูร ซึ่งไม่อาจถือครองศีลได้ มาอาศัยร่วมและช่วยงานอยู่ นับเป็น “ของขลัง” ชนิดหนึ่ง ดังนั้น ท่านก็จะต้องผ่อนปรนศีลลงเพื่อให้ลดความตึงเครียดของอสูร ให้สามารถทำงานร่วมกันในกายสังขารเดียวกันได้ อย่างนี้ ของอยู่ในตัว แต่ยังไม่จัดว่าถูกของเข้าตัว ของเข้าตัวคือ ภาวะที่จิตวิญญาณของเจ้าของไม่อาจควบคุมของได้อีกต่อไป ของขลังนั้นย้อนกลับไปควบคุมบงการเจ้าของเสียเอง ข้อบงชี้ที่ชัดเจนอีกประการหนึ่งที่แสดงว่า “ของเข้าตัว” คือ สภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงตกต่ำลงจากเมื่อก่อนอย่างผิดปกติ เช่น จากเคยรวยกลายเป็นยากจนไปทันที โดยไม่มีสาเหตุ หรือมีสาเหตุแต่ไม่น่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันขนาดนั้น หรือจากเคยมีชื่อเสียงได้รับความนิยม กลายเป็นมีแต่คนเกลียดชัง เป็นต้น เมื่อของเข้าตัวแล้วเจ้าของจะต้องรับวิบากกรรมต่างๆ มากมาย บางราย จิตใจตกต่ำลงจนไม่สามารถฟื้นคืนได้อีก และต้องถูกจิตวิญญาณชั้นต่ำครอบงำ และครอบครองร่างกายในที่สุด
สถานการณ์การเล่นของของคนไทยสมัยปัจจุบัน (สำรวจเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๒)
การ สังเกตว่าบุคคลใดมีของขลังชนิดใดอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องยากนัก หากเป็นคนช่างสังเกตคน และละเอียดลออแบบคนไทยโบราณแล้ว ย่อมสามารถจับสังเกตคนเล่นของ หรือคนที่มีของได้ไม่ยากเลย คนไทยโบราณเป็นแบบนี้ และรู้ดีว่าใครมีของจริงและไม่จริง คนไทยโบราณจึงต้องฝึกการเก็บของ หรือการไม่โอ้อวดไม่แสดงตัว ไม่แสดงให้ใครรู้ว่าตนมีของดี มีอะไรดีมากเกินไป เพราะการแสดงออกซึ่งสิ่งดีงาม เท่ากับเป็นการปล่อยของและเปิดโอกาสให้ผู้อื่นสามารถเอาของขลังในตนไปได้ การถ่ายภาพ, การออกทีวี คนไทยโบราณก็จะหลีกเลี่ยงไม่ทำกัน เพราะผู้คนมากมายที่เห็นของดีในตัวบุคคล สามารถเรียกของไปจากเจ้าของเดิมได้ เช่น หากผู้ทรงฤทธิ์มากกว่าเรา รู้ว่าเรามีกุมารอยู่แล้ว เขาสามารถใช้ฤทธิ์เรียกเอากุมารไปจากเราได้ เราก็เสียของไปเช่นนั้นเอง ของขลังชนิดต่างกันก็แสดงให้เห็นถึงอานุภาพต่างกันไป เช่น ของที่อยู่ในดาราและนักการเมือง ส่วนใหญ่จะเป็นจำพวกเมตตามหานิยม และประเภทเสริมการพูดให้คนหลงเชื่อ เช่น จิ้งหรีดเสียงทอง, สาลิกาลิ้นทอง ฯลฯ แต่ละอย่างมีลักษณะต่างกันสังเกตได้ แต่จะไม่อธิบายรายละเอียดในสื่อสาธารณะเช่นนี้ เพราะเป็นอันตรายมากเกินไป อนึ่ง ก่อนที่หลวงพ่อฤษีลิงดำจะมรณภาพลง ท่านได้ให้คำทำนายไว้หลายประการ หนึ่งในคำทำนายนั้นคือ “อภิญญาจะขึ้นเป็นสาธารณะ” คือ อภิญญากลายเป็นเรื่องทั่วๆ ไปที่ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ไม่ยาก ปัจจุบันประเทศไทยมีการระดมเงินทำบุญด้วยการปลุกเสกเครื่องรางของขลังมากมาย บางท่านคิดว่าเป็นแค่ความเชื่อความศรัทธาส่วนบุคคล และบางท่านก็คิดว่าคงไม่มีอะไรหรอก แต่ในความไม่มีนั้น โปรดสังเกตเห็นว่าการปลุกเสกมักได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยอย่างผิดปกติ นี่ไม่ใช่ “เมตตามหานิยมดอกหรือ” หลายท่านได้ของขลังไปแล้ว เพราะความไม่รู้ จึงไม่รู้จักรักษาของขลังเหล่านั้น และทำให้ของเสื่อม หรือเสียของไปโดยไม่รู้ตัวมากมาย หลายท่านจึงคิดกันเอาว่าของขลังไม่ได้มีผลอะไรจริง เพราะของเสื่อมไปแล้วนั่นเองอย่างนี้ก็มี อนึ่ง การที่พระสงฆ์แก่ๆ รูปหนึ่งจะได้รับความนิยมล้นหลามนั้น หากจะเป็นด้วยบารมีนั้นลองเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้าที่มีบารมีสูงสุดก็ได้ พระสงฆ์บางรูปในปัจจุบันนับว่าได้รับความนิยมรวดเร็วผิดปกติมากกว่าพระ พุทธเจ้าเสียอีก นี่คงไม่ใช่เพราะบังเอิญโดยไม่มีสาเหตุเป็นแน่ ปัจจุบันอัตราการเล่นของยิ่งเพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ปัญญาความเข้าใจถึงจิตวิญญาณที่แท้จริงกลับลดลง การเล่นของโดยขาดความเข้าใจอาจนำภัยมหันต์มาสู่ตัว ขอฝากไว้ให้ท่านทั้งหลายพิจารณากัน
อาการของคนที่โดนคุณไสย์
การทำคุณไสย์ ใส่กันในเมืองไทย ที่พอจะทราบกัน ก็มีตั้งหลายกลุ่ม คุณไสย์ของ หมอเขมร หมอแขก หมอลาว หมอไทย ชาวเขาก็มี ลักษณะการทำ ก็มีตั้งแต่เสกคุณไสย์เข้าตัว เอาคุณไสย์ให้กิน ฝังรูปฝังรอย(เรียกจิตผูกจิต) .... ว่ากันว่า วิชาของ หมอเขมร กับหมอแขก ค่อนข้างจะโหดสุด แก้ยาก ดังนั้นอาการของคนที่โดนคุณไสย์ จึงมีหลายแบบ แล้วแต่คุณไสย์ที่โดน ...... และก็อย่าคิดว่า เฉพาะมนุษย์ เท่านั้นที่ใช้คุณไสย์ได้ พวกผี เจ้าที่เจ้าทาง ที่เฮี้ยนๆ ก็ทำได้ ที่เจอมาก็จะเป็นพวกรากไม้ เยื่อไม้ ใบไม้ โดนเข้าไปแล้วก็จะมีอาการเจ็บปวด ตามตัว
การทำคุณไสย์ก็มีหลายแบบ ที่นำมาแสดงข้างล่าง เป็นแบบที่พบเห็นได้บ่อยๆ... ดังนี้
คุณไสย์แบบ ใส่ของเข้าตัว อาจจะใส่เข้าผ่านทางลม หรือหลอกให้กิน
ของที่หมอผี นิยมเสกเข้าตัว หรือหลอกให้กิน ก็มีตั้งแต่ เส้นผม หนังควาย ขี้เถ้าผีตายโหง ว่านบางชนิด กระดูก รากไม้ ตะปู .... ใครที่โดนคุณไสย์เข้าไป ก็จะมีอาการเจ็บปวดตามตัว เจ็บปวดเหมือนโดนเสียบ ร่างกายร้อนเป็นจุดๆ บางที่ก็เหมือนมีอะไรเคลื่อนไปตามร่างกาย การกิน อยู่หลับนอน จะเสียระบบ วิงเวียนศรีษะ ใจหวิววๆ ตกใจง่าย หนักเข้าก็หน้าหมองคล้ำ สติเลอะเลือน หลงลืมๆ ผวา .... เจ็บป่วย บางรายก็อาจเสียชีวิตได้ บางรายก็แค่ทรมาน แล้วแต่ว่าคนกระทำว่าจะเอาแค่สั่งสอน หรือเอาให้ถึงตาย
คุณไสย์ แบบ ฝังรูปฝังรอย(เรียกจิตผูกจิต)
คุณไสย์แบบนี้ หมอผีจะทำการ ปั้นหุ่นขี้ผึ้งของเป้าหมาย(คนที่จะใส่คุณไสย์) และบรรจุข้อมูลเช่น วันเดือนปีเกิด รูปภาพ สิ่งของ เล็บ ผม หรืออะไรที่จะเป็นสื่อถึงเป้าหมายได้ ทำพิธีกรรมเรียกจิต ของเป้าหมายมาเข้าหุ่นนั้น กำกับคาถาสั่งให้เป็นไปตามที่ตั้งการ เช่นสั่งให้รัก ให้เกลียด ให้มาหา ให้กลัว ให้เป็นบ้า แก้ผ้า.... แล้วนำหุ่นนั้นไปฝังที่ทางสามแพร่ง อาการของผู้ถูกกระทำ ก็จะเป็นอาการทางจิต เช่น นึกรักใครบางคนอย่างไม่มีสาเหตุ อยากไปหา เห็นแต่หน้าใครบางคน บางทีก็รู้ตัวว่าไม่ได้รักคนนั้น แต่อยากจะไปหา อยากไปอยู่ด้วย จิตใจเกิดความขัดแย้ง หวาดกลัว ระแวงว่าคนจะมาฆ่า นานวันเข้า สติเลอะเลือน หลงลืม หน้าหมองคล้ำ ถ้าแก้ไขไม่ทัน ก็อาจจะเป็นบ้าได้ ...
คุณไสย์แบบนี้ พบมากสุดในปัจจุบัน สาเหตุก็มาจากเรื่องความรัก อยากให้คนมารัก อยากแย่งของรัก หรือไม่ก็ การแข่งขันในหน้าที่การงาน การค้าขาย....
ข้อสังเกตุ : ถ้าคนป่วย มีอาการกำเริบรุนแรง ในช่วงวันโกณ วันพระ ก็ให้สัณนิฐานไว้เลยว่า อาจจะโดนคุณไสย์ เพราะว่าการกระทำคุณไสย์จะมีกำลังมาก ในช่วงวันโกณ วันพระ
ตาลอย ตาเศร้า ไม่มีแวว พูดน้อย บุคลิกเปลี่ยน หน้าดำลง ไม่สนใจคนที่เคยคุย ดูโดยรวมๆ บอกว่า แปลกๆไป คิดอะไรอยู่หรือ ฯลฯ ในทางวิทยาศาสตร์ บอก คงกำลังมีเรื่องกลุ้มใจอยู่
หน้าที่เข้าชม | 507,754 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 416,244 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ค. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 7 ก.ย. 2568 |