ศักยภาพของจิตใต้สำนึก
พวกเราคงได้ยินปรมาจารย์หลายท่านเปรียบเทียบพลังอานุภาพของจิตใต้สำนึกเสมือนภูเขาน้ำแข็งส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้ำ ซึ่งมีลักษณะก้อนใหญ่กว่าส่วนที่บนผิวน้ำเป็นอันมาก เปรียบได้กับ พลังอานุภาพของจิตใต้สำนึกมีมากกว่าจิตสำนึกหลายเท่า แต่แปลกที่มนุษย์กลับดึงศักยภาพของจิตใต้สำนึกมาใช้ยังไม่เต็มที่ หรือเมื่อมีปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ที่จิตใต้สำนึก ก็ไม่รู้วิธีที่จะแก้ไขปัญหานั้นให้หมดไป
คราวนี้ มาลองดูความหมายของภูเขาน้ำแข็งจากซิกมุนด์ ฟรอยด์ ที่ได้เปรียบเทียบจิตหมือนภูเขาน้ำแข็งว่าเป็นอย่างไร
• จิตสำนึกเปรียบเสมือนส่วนที่ลอยอยู่เหนือพ้นน้ำถูกแสงแดดส่อง ทำให้ผู้คนได้มองเห็นพฤติกรรมดีงามที่เกิดจากการควบคุมของจิตสำนึกให้เป็นไปตามหลักศีลธรรมและเหตุผล
• จิตใต้สำนึกเปรียบเสมือนส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด มันหมายถึงประสบการณ์ในอดีต ซึ่งประกอบด้วยความคิด ความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆ ทั้งดีและ ไม่ดี เช่น อารมณ์เก็บกด ความฝัน ความทรงจำ ความกล้า ความกลัว ความแค้นอาฆาตพยาบาท ฯลฯ ที่ถูกสะสมไว้มากมายเป็นแวลายาวนานหลายภพหลายชาติ และจะปรากฎเผยตัวให้เห็นก็ต่อเมื่อสภาพลมฟ้าอากาศแปรปรวน คลื่นทะเลซัดโคลงเคลงแรงจนภูเขาน้ำแข็งโคลงเคลงด้วย ก็จะทำให้มองเห็นก้อนน้ำแข็งที่ถูกเก็บตัวอยู่ใต้น้ำได้อย่างง่ายดาย เปรียบได้กับมนุษย์ก็จะเปิดเผยตัวตนเบื้องลึกที่แท้จริงในยามที่มีอารมณ์ขุ่นมัว โกรธ เกลียด ริษยา ตะหนกวิตก ตกใจ ฯลฯ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่สังคมไม่ชอบ บางคนแสดงความรังเกียจไม่อยากรับรู้ หรือคบหาเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้นมนุษย์หลายคนจึงเลือกที่จะปกปิดพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ให้สังคมรับรู้ และแสดงแต่พฤติกรรมที่สังคมชื่นชอบออกมาแทน จึงทำให้ความรู้สึกตัวตนข้างในจริงๆ ถูกเก็บขังอยู่ภายในและอาจถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นการกระทำผิดปกติอย่างกามวิปริต ซึมเศร้า ประหม่า ตัวอย่างที่พบเห็นในสังคมในปัจจุบันมาก คือ ผู้ชายที่เป็นเกย์ แต่ด้วยความที่มีหน้าที่การงานที่ดี มีผู้คนนับถือจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถแสดงตัวตนของจิตใต้สำนึกที่แท้จริงออกมาได้ ก็ปกปิดด้วยการมีแฟนเป็นผู้หญิง แต่งงานกันจนมีลูก แต่สุดท้ายก็ไม่มีความสุข เพราะฝืนความรู้สึกของตัวเอง
วิธีการที่จะช่วยเหลือคนที่มีพฤติกรรมผิดปกติเหล่านี้ จำเป็นที่ต้องแก้ไขที่ต้นเหตุนั่นคือจิตใต้สำนึก เพราะมันได้บันทึกเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ด้วยวิธีการง่ายๆ คือ การสั่งจิตบำบัดนั่นเอง
จากรูปจะเห็นว่า ศักยภาพของจิตใต้สำนึกมีถึง 93% เป็นพลังเร้นลับซ่อนอยู่ในร่างกายของมนุษย์ทุกคน โดยปกติมนุษย์ใช้จิตใต้สำนึกในชีวิตประจำวัน ด้วยการคิด พูด กระทำเท่านั้น แต่ก็มีบางเหตุการณ์ที่ใช้จิตใต้สำนึกโดยไม่คาดคิดและวางแผนมาก่อน เช่น ในช่วงตกใจสามารถยกตู้เย็นหนีไฟไหม้ออกจากบ้านได้อย่างเบาสบายภายในเวลาแป๊ปเดียว แต่เมื่อไฟดับแล้ว กลับยกกลับเข้าบ้านไม่ได้ ต้องหาคนช่วยแบกกลับบ้านด้วยความรู้สึกว่าหนักมาก หรือ หนุ่มน้อยเดินชนป้ายโฆษณาข้างทางด้วยความบังเอิญ แต่ด้วยความอายสาวๆ ก็เกิดความรู้สึกในทันทีว่า ห้ามเสียฟอร์ม ทำให้ไม่กล้าแสดงอาการว่าเจ็บ โดยพูดกับตัวเองในใจว่า แสดงอาการเจ็บให้คนอื่นเห็นไม่ได้เป็นอันขาด มันไม่เจ็บเลย และยืดอกเดินอย่างสง่าผ่าเผยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย และเมื่อไม่ได้คิดถึงความเจ็บ ก็เลยทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ หรือผู้ชายที่ปกปิดความเป็นเกย์ไม่ให้สังคมรับรู้ เมื่อถึงคราวตกใจ ดีใจ โกรธสุดๆ ก็จะควบคุมตัวเองไม่อยู่ หลุดพฤติกรรมที่เคยปกปิดไว้ให้สังคมได้รับรู้
จากตัวอย่างข้างต้น เป็นการดึงพลังจิตใต้สำนึกมาใช้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งก็ได้ผลเช่นกัน จริงๆ ในชีวิตประจำวันของพวกเราหลายคนได้นำพลังที่ซ่อนเร้นมาใช้กับตัวเองและคนรอบข้างโดยไม่รู้ตัวหลายต่อหลายครั้งแล้ว
ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นว่า จิตอยู่เหนือสสารจริงตามที่ปรมาจารย์ได้กล่าวไว้ สสารในที่นี้คือ เลือดเนื้อเซลล์เส้นประสาททั้งหลายที่รวมตัวกันเป็นร่างกาย เป็นตัวเราให้เห็นเป็นตัวเป็นๆนั่นแหละ เราหลายคนไม่รู้ว่าจิตใต้สำนึกมีอำนาจเหนือร่างกายนะ เมื่อเราให้จิตใต้สำนึกสั่งร่างกาย ร่างกายก็ว่านอนสอนง่ายรีบปฏิบัติตามทันที เพียงแต่เจ้าตัวไม่รู้ว่าเราสามารถสั่งร่างกายเราให้ทำงานตามที่สั่ง ตามที่คิดได้ ร่างกายก็จะเป็นไปตามที่สั่ง ตามที่คิดทันที
หลายคนที่ไม่มีความรู้ในเรื่องพลังจิตใต้สำนึก มักใช้จิตใต้สำนึกทำงานในทางลบโดยไม่รู้ตัวซะเยอะแยะ จนเกิดเป็นโรคต่างๆ (หมายถึง โรคที่ไม่มีเชื้อโรค) เช่น โรคกระเพาะ ไมเกรน
แต่ก็มีคนส่วนหนึ่งที่ไม่มีความรู้เรื่องพลังจิตใต้สำนึกแต่มีทัศนคติในทางบวก จึงมีสติที่จะสกัดกั้นสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากชีวิต ทำให้ไม่มีการบันทึกเก็บในจิตใต้สำนึก เขาจึงมีแต่สต๊อกข้อมูลที่เป็นบวกทั้งนั้น คิดสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ต้องรัดทนกับโรคภัยไข้เจ็บหรือปัญหาต่างๆ
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว จงใช้จิตใต้สำนึกทำงานให้เราฉพาะเรื่องที่ดีงาม เกิดประโยชน์เท่านั้น แต่เนื่องจากการที่จิตใต้สำนึกแยกแยะอะไรไม่เป็น ถ้าถูกนำไปใช้ในทางลบทั้งตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็จะทำให้เกิดผลเสียได้ เช่น อาการกลัวผีอย่างไม่มีเหตุผลและไม่เคยเห็นผีมาก่อน นั่นเป็นเพราะเมื่อตอนเป็นเด็ก ถูกพ่อแม่ปลูกฝั่งความคิดให้กลัวผี เพื่อให้ง่ายในการปกครองและควบคุมให้อยู่ในบ้าน แต่ก็สามารถล้างความกลัวออกจากชีวิตได้ง่ายๆ ด้วยวิธีการสั่งจิตใต้สำนึก
เมื่อมีข้อมูลเก็บในสต๊อกของจิตใต้สำนึกมากเข้า ก็จะสะท้อนออกมาให้เห็นเป็น
- บุคลิกภาพ
- พฤติกรรม
- นิสัย (ถ้ามากๆ ก็จะเป็นนิสัยถาวรหรือสันดาน)
- ความเป็นตัวตน ตัวอย่าง ขี้โมโห
- ความใฝ่ฝัน
- แรงบันดาลใจ (อันแรงกล้าสุดๆ)
- ความทะเยอทะยาน ที่อยากจะมีภาพแห่งชีวิตที่ดีกว่าในปัจจุบัน
- การตัดสินใจที่ไม่ใช้เหตุผลใดๆ
สรุป พลังจิตใต้สำนึกคืออะไร มันก็คือกำลังอำนาจที่อยู่ในร่างกายของมนุษย์ ที่สามารถควบคุมร่างกายภายนอกและควบคุมอวัยวะภายในของตนเองและของคนอื่นได้ โดยในการใช้พลังจิตใต้สำนึกกับคนอื่นมีข้อพึงระวังในเรื่องของการสะท้อนกลับเหมือนบูมเมอแรงคือ ผู้ใดนำพลังจิตไปใช้ในทางที่ดี ก็จะรับสิ่งที่ดีกลับมา เพราะเราบอกคนอื่นแต่สิ่งที่ดีๆ จิตใต้สำนึกเราก็เก็บสิ่งดีๆ เข้าไปไว้เป็นสต๊อกด้วย และพร้อมที่จะให้ดึงออกมาใช้ได้ตลอด ผู้ใดนำไปใช้ในทางเลว นอกจากทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนแล้ว ตนเองก็ได้รับความเดือดร้อนเช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าจะได้รับช้าหรือเร็ว ดังนั้น โปรดใช้แต่ทางที่ดีเท่านั้น
เราสามารถใช้พลังจิตใต้สำนึกในการแยกจิตออกจากกายได้ด้วย เพื่อหลีกหนีไม่ต้องรับรู้ความรู้สึกเจ็บปวด เช่น ถอดจิตระงับความเจ็บปวดในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือในกรณีที่ต้องผ่าตัด ในขณะทำสงคราม แต่ไม่มียาสลบ ยาชา ก็ใช้วิธีแยกจิตออกจากกายได้ โดยไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเลย หรือบางคนที่แพ้ยาชา เมื่อถูกถอนฟัน ทันตแพทย์ที่เป็นนักสั่งจิต ก็จะสั่งจิตคนไข้ให้รู้สึกชาที่เหงือก แล้วถอนฟันออกโดยไม่มีความเจ็บปวดเลย
นอกจากการตั้งใจถอดจิตออกจากกายแล้ว บางครั้งจิตใต้สำนึกก็ออกจากกายไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆได้เองอีกด้วย โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจถอดจิต และสามารถกลับเข้าสู่ร่างกายได้เอง
สำหรับคนที่มีจิตใต้สำนึกที่ไม่มีพลัง เมื่อเจ็บป่วยแล้ว เจอคนทักแค่ “ดูแย่จัง ไม่เห็นดีขึ้นเลย” อาการก็จะทรุดหนักมากขึ้น นั่นเป็นเพราะจิตตก ใจเสาะ อ่อนกำลัง ไม่มีพลัง เมื่อเจออะไรมากระทบ ก็เป็นไปตามที่ได้ยิน
จะเห็นได้ว่า ถ้าพูดลบ ก็จะได้รับผลเสีย ถ้าพูดบวก ให้กำลังใจ ก็จะมีอาการดีขึ้น หายไว แข็งแรง ดังนั้น เราต้องมีเทคนิคในการพูดที่ทำให้สถานการณ์ที่แย่อยู่แล้ว ให้มันแย่น้อยลงหรือดีขึ้น ทำให้บางครั้งต้องพูดโกหกบ้าง ซึ่งถ้าการโกหกไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ก็ไม่ผิดอะไร
เห็นมั้ยว่า เมื่อจิตใต้สำนึกมีพลัง ก็จะดลบันดาลให้เกิดสิ่งที่ไม่น่าเชื่ออีกตั้งหลายอย่าง เราคงเคยได้ยินว่า คนที่มีพลังอำนาจจิตหรือพลังจิตมีความสามารถที่เหนือคนธรรมดา เหนือธรรมชาติ บางคนถึงกับแสดงปาฎิหาริย์ออกทีวีให้เห็นได้อย่างมหัศจรรย์เหลือเชื่อ เช่น
- ใช้กระดาษตัดตะเกียบหรือดินสอหักได้
- สั่งให้วัตถุสิ่งของเคลื่อนที่โดยไม่ใช้มือ
- หลวงพ่อวัดมะขามเฒ่า เสกใบมะขามเป็นตัวต่อ
- หยุดลม หยุดฝน ให้ไฟดับหรือไฟติด
- สั่งให้คนไม่มีกำลังกลับมีกำลังเดินได้อย่างปกติ
- ใช้พลังจิตบำบัดโรคทางจิตและทางกายให้หายได้โดยไม่ใช้ยา
- หนังเหนียว ฟันแทงไม่เข้า ยิงไม่ออก
- ปลุกเสกวัตถุมงคล ของขลัง
- บรรเทาอาการปวดด้วยการเป่าเสกพลัง น้ำมนต์
ผู้ที่จิตสะอาด มองโลกในแง่ดี ปราศจากอคติ ไม่วิตกกังวล ไม่เก็บความโกรธ ความกลัว ความอิจฉา ความแค้น ความเกลียด หากได้มีการฝึกจิตใต้สำนึกอย่างสม่ำเสมอ พลังจิต (Psychic Power) ก็จะเพิ่มพูนสูงขึ้นได้ดีกว่าผู้ที่มีจิตไม่สะอาด ผู้ที่มีพลังจิตจะมีความไวต่อความรู้สึกทางจิต แม้จะอยู่ไกลแค่ไหนคนละประเทศก็รับรู้ได้ เพียงแค่คิดถึงพลัง พลังก็จะเกิดขึ้นทันที พร้อมใช้งานทุกขณะที่จิตต้องการไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆ
มีเรื่องจริงในเมืองไทยเมื่อนายแพทย์ขุนวิจิตรสุขการทดลองสะกดจิต ด้วยการใช้ดินสอแทนเหล็กเผาไฟร้อนระอุจี้ลงบนผิวหนังของผู้ทดลอง โดยหลอกผู้ทดลองว่าดินสอเป็นเหล็กที่มีร้อนมาก ผลปรากฎว่าผู้ทดลองเชื่อตามนั้นจริงๆ จนเกิดรอยไหม้และมีอาการร้อนผิวหนังเหมือนถูกไฟจี้
อีกเรื่องเกิดขึ้นในต่างประเทศ มีข่าวทดลองฉีดน้ำเปล่าแทนสารพิษให้กับนักโทษประหาร โดยนักโทษประหารคนนั้นเชื่ออย่างสนิทใจว่าถูกฉีดสารพิษเข้าไปในร่างกายของเขาจริงๆ ผลปรากฏว่านักโทษเสียชีวิต
แต่เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้จะเอาดีด้านการบำบัดจิตและกายให้แข็งแรง และพัฒนาศักยภาพของชีวิตให้มีความสุข โดยไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องปาฎิหาริย์แต่อย่างใด
ทยิดา รังสฤษฎ์รัศมี / บ้านชีวีสุข
หน้าที่เข้าชม | 507,754 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 416,244 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ค. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 7 ก.ย. 2568 |