'อาณุภาพพิธีสวดภาณยักษ์' พลังลึกลับ หรือ การสะกดจิต
เสียงคาถาสวดอันดังและดุดัน กระแทกกระทั้น สูงบ้าง ต่ำบ้าง สลับสั้นยาว
และโหยหวนชวนขนพอง สยองขวัญ ของเหล่าบรรดาพระสงฆ์ที่เป็นเจ้าพิธีกรรม
ท่ามกลางเสียงดังเปรี้ยงปร้างปัง เป็นตับๆถี่ยิบของประทัด ที่จุดขึ้น
ทำให้ผู้คนที่นั่งพนมมืออยู่ในเขตวงสายสิญจน์สะดุ้งไปตามกัน บางคนเกิดอาการชักดิ้นชักงอ
บางคนสั่น กระตุกบางคนลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นคล้ายกับจะรำมวย
บางคนก็ลุกขึ้นมาร่ายรำอ่อนช้อยคล้ายนางรำ
บางคนมี อาการ ทำร้ายตัวเอง บางคนนอนดิ้นพลาดๆเมื่อพระสงฆ์เจ้าพิธีกรรมสาดน้ำมนต์
ใส่ผู้คนที่เกิดอาการเหล่านั้น บางคนก็ส่งเสียงหวีดร้องโหยหวน บางคนก็แน่นิ่งสลบไป
มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับผู้คนเหล่านั้นกันแน่พิธีสวดภาณยักษ์ คืออะไร
นับถอยหลังไปประมาณหกหรือเจ็ดปีที่ผ่านมา พอเริ่มออกพรรษาจนกระทั่งสงกรานต์
ไม่ว่าจะนั่งรถ ผ่านไปทางใด เชื่อแน่ว่าท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะเห็นป้ายคัทเอาต์แผ่นใหญ่
ติดตั้งอยู่ริมข้างถนน ประกาศ เชิญชวนผู้คนทั้งหลายให้เข้าร่วมพิธีที่เรียกกันว่า สวดภาณยักษ์
กันที่วัดโน้นบ้างวัดนี้บ้าง มากมายหลายวัด เต็มไปหมด เพื่อสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา
และเพื่อความเป็นสิริมงคลต่างๆ แก่ผู้ที่เข้าร่วมในพิธี ซึ่งพิธีกรรม
ที่ว่านี้สามารถที่จะช่วยสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาได้จริงหรือไม่ ?
และช่วยให้เกิดความเป็นสิริมงคลได้จริงๆหรือ
คือปริศนาที่รอคำตอบกันอยู่ และทำไมผู้คนจึงได้เชื่อถือกันเป็นจำนวนมาก
มีที่มากันอย่างไรนั่นคือสิ่งที่ผู้คน ต่างก็ยังสงสัยกัน
จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากมายอยู่ในขณะนี้
อันที่จริงผมตั้งใจอยากจะเขียนเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ยังเกรงใจไม่กล้าเขียนออกมา
เพราะเห็นมีวัด ต่างๆโฆษณาเกี่ยวกับเรื่องของการทำพิธีสวดภาณยักษ์กันอยู่
จึงเกรงจะไปขัดผลประโยชน์ของผู้อื่น และเป็น การสร้างศัตรูขึ้นโดยไม่ตั้งใจ
ก็เลยรอให้วัดต่างๆเขาค่อยๆซาเรื่องนี้กันเสียก่อน ซึ่งบังเอิญมาได้จังหวะช่วงนี้
เป็นช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา และพิธีกรรมนี้ก็รู้สึกหายไป มีเหลืออยู่ไม่มากเหมือนสมัยก่อน
การสวดภาณยักษ์ได้เริ่มมีขึ้นในประเทศไทย เข้าใจว่ามีมาตั้งแต่สมัยของพ่อขุนรามคำแหง
รับมาจาก พระสงฆ์ทางลังกาสายเถรวาท โดยเริ่มเข้ามาทางด้านจังหวัดนครศรีธรรมราช
จนถึงสมัยของรัชกาลที่ ๕ เสด็จนครศรีธรรมราชจึงได้นำมาจัดเป็นพิธีประจำปี
สำหรับพระนครเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่พระนคร และแก่พระเจ้าแผ่นดิน
เพราะมีความเชื่อกันมาว่า บ้านเมืองหนึ่งๆ จะมีผีที่ดี และผีที่ไม่ดีอาศัยอยู่
ผีที่ไม่ดีเรียกว่า ภูติผีปิศาจ ส่วนผีที่ดีเรียกว่า เทพยดา
และที่บ้านเมืองมีเหตุเพทภัยต่างๆเกิดขึ้น
ก็เป็นเพราะเกิดจากภูติผีปิศาจกลั่นแกล้งบันดาลให้เป็นไป
ดังนั้นเมื่อสิ้นปีหนึ่งไป จึงได้ทำพิธีสวดภาณยักษ์ เพื่อเป็นการขับไล่ภูตผีกันสักครั้ง
เพื่อความเป็นสิริมงคล และความร่มเย็นเป็นสุขของบ้านเมือง และแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งปวง
จึงเป็นสาเหตุ ที่มีการทำพิธีสวดภาณยักษ์กันขึ้นมานั่นเอง
ภาณ หมายถึงการสวด สมัยก่อนการสวดภาณยักษ์มีอยู่สองแบบคือ สวดภาณวาร และสวด
ภาณยักษ ์ ซึ่งการสวดทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกันคือ
ภาณวาร เป็นการสวดแบบมีทำนองครุ ลหุ คือมีการเน้นเสียงหนักเบา ใช้น้ำเสียงสวดที่ไพเราะไม่
กระแทกกระทั้นดุดัน เหมือนการสวดภาณยักษ์ ภาณยักษ์
เป็นการสวดที่มีน้ำเสียงกระแทกกระทั้นดุดันเกรี้ยวกราด และน่ากลัวจึงได้เรียกว่า
สวดแบบ ภาณยักษ์นั่นเอง ใช้สวดเพื่อขับไล่ยักษ์หรือภูตผีต่างๆ
การสวดทั้งสองแบบนี้ได้นำมาจาก อาฎานาฏิยสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่อยู่ในพระไตรปิฎก
ว่าด้วยเรื่อง ของยักษ์ต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงปราบ มาดัดแปลงทำนองให้ดุดัน และโหยหวน
เพื่อเป็นการขับไล่สิ่งที่ไม่ดี ให้ออกไป มีการจุดปืนใหญ่สมทบ
เพื่อให้ภูตผีปิศาจเกิดความกลัวจะได้หนีไป แต่ในปัจจุบันใช้การจุดประทัดแทน
บางตำนานก็บอกว่าการสวดภาณยักษ์นั้น
เกิดจากเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ท่านได้ทรงโปรดเทศนาธรรม
ให้กับพญายักษ์ที่มีชื่อว่า ท้าวเวสสุวัณ ซึ่งเป็นจ้าวแห่งภูตผีปิศาจทั้งหลาย
แค่เอ่ยชื่อเพียงอย่างเดียว พวกภูตผี ปีศาจที่มีฤทธิ์เดชทั้งหลายยังต้องเกรงใจ
ไม่กล้ายุ่งเกี่ยวต่อกรด้วย หลังจากที่ยักษ์ท้าวเวสสุวัณได้ฟังพระธรรม จากพระพุทธเจ้า
ก็บังเกิดความซาบซึ้งในรสพระธรรมขึ้น จึงได้แต่งพระคาถาน้อมถวายแก่พระพุทธเจ้า
ซึ่งก็คือ คาถาสวดภาณยักษ์นั่นเอง เมื่อสวดคาถาบทนี้เมื่อใด
เหล่าภูตผีปิศาจไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ก็ต้องยอมศิโรราบให้
เพราะ เกรงกลัวในบารมีของท่านท้าวเวสสุวัณ พากันเผ่นหนีกันจ้าละหวั่นไปกันหมด
ท่านท้าวเวสสุวัณ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ท้าวกุเวร เป็นเทวาธิราชพระองค์หนึ่ง
เป็นจอมเทพที่มี ีศักดาอานุภาพ และอิทธิฤทธิ์มาก ถึงแม้ว่าจะเป็นยักษ์
( บางตำนานก็ว่าหน้าเป็นคน )
ก็เป็นยักษ์ที่ใจดีมีเมตตา และมีศีลธรรมประจำใจ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจอันมากมายที่มีอยู่
จึงเป็นที่กลัวเกรงของเหล่าบรรดาภูตผีทั้งปวง และบรรดาเหล่ายักษ์มารทั้งหลาย
รวมทั้งเทวดาชั้นผู้น้อย ทำหน้าที่ปกครองดูแลเทพเทวาในนครอันดับที่สี่ ซึ่งอยู่ในสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง
ในสวรรค์ชั้นนี้ก็มี เทพเทวดา อสูร นาค ราคสด คนธรรพ์ และพวกสัมพเวสีอาศัยอยู่
การทำพิธีสวดภาณยักษ์ในแต่ละวัดหรือแต่ละแห่งนั้น
ใช้สิ่งของเครื่องใช้ในการเข้าพิธีอาจแตกต่างกันไปบ้าง
แต่ส่วนใหญ่จะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ มีผ้ายันต์เป็นรูปท้าวเวสสุวัณ และมีสายสิญจน์
สิ่งที่ขาดไม่ได้ ้ก็คือเงินค่าเข้าพิธี ซึ่งก็สุดแท้แต่ละแห่ง มากน้อยแตกต่างกันไปตามสถานที่จัดพิธี
หากเป็นแหล่งชนบทก็อาจจะ เสียน้อย แต่หากเป็นแหล่งที่เจริญ
ก็จะเสียค่าพิธีตั้งแต่ 199 - 300 บาท
หรือกว่านี้ ด้วยเหตุนี้พิธีสวดภาณยักษ์ ์ในปัจจุบันจึงได้กลายเป็นพิธีที่แสวงหาผลประโยชน์
โดยใช้พิธีกรรมมาบังหน้า มิได้เป็นการปัดเสนียดรังควาน
ดังเช่นสมัยโบราณ มีกลุ่มผู้อาศัยผ้าเหลืองทำการ ออกทำพิธีโดยการเดินสายไปทั่วประเทศ
ไปเช่าติดต่อวัดวาต่างๆ โดยเป็นการเช่าสถานที่บ้าง
หรือแบ่งรายได้จากเงินค่าพิธีที่ผู้คนพากันศรัทธามาเข้าพิธี
ตามสัดส่วนที่ตกลงกันเอาไว้ ดังนั้นจึงมักพบกลุ่มผู้อาศัยผ้าเหลืองเหล่านี้ในวัดต่างๆ
หลายแห่งซ้ำหน้ากันอยู่เสมอ และก็เป็นเช่นนี้มาหลายปีแล้ว
เพียงแต่ผู้คนหรือประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบเท่านั้นเอง
เพราะเห็นว่าเป็นพระสงฆ์ จึงมีความศรัทธาเลื่อมใส พากันตกเป็นเหยื่อมาเข้าพิธีกันอย่างมากมาย
เพราะนึกไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องของการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน
ของกลุ่มคนที่แฝงในผ้าเหลืองกับวัดบางแห่ง
แต่ละคนเมื่อได้เสียเงินและรับของที่จัดสำหรับ การเข้าพิธีสวด ภาณยักษ ์แล้ว
ก็จะเข้าไปนั่งยังสถานที่ที่ทางวัดจัดไว้ให้แล้วสำหรับประกอบพิธี
ซึ่งสถานที่ทำพิธีสวดภาณยักษ์
โดยมากจะใช้ด้ายสายสิญจน์ผูกโยงสลับไปมาอยู่เหนือศรีษะของผู้คนที่มาเข้าพิธี
แล้วมีสายสิญจน์โยงลงมาอีก ทอดหนึ่ง ไว้ใช้สำหรับผูกคล้องศรีษะของผู้ที่มาร่วมพิธี
โดยเวียนไปทางขวาสามรอบ หลังจากนั้นก็จะเริ่มประกอบ พิธีสวดภาณยักษ์กัน
ซึ่งในขณะที่สวดก็มีการจุดประทัดเป็นตับๆสมทบ เสียงดังถี่ยิบมาก คล้ายกับการจุดประทัดใน
เทศการตรุษจีนยังไงยังงั้นเลยทีเดียว พอเสียงประทัดดังขึ้น
ผู้คนที่นั่งเข้าในพิธีก็เริ่มแสดงอาการกันไปต่างๆนานา
บ้างก็สั่นดังเจ้าเข้าทรง บ้างก็ดิ้นทุรนทุราย บ้างก็ชักและส่งเสียงหวีดร้อง
บ้างก็ร่ายรำอย่างสวยงาม บ้างก็กระโดด ขึ้นมาคล้ายจะทำท่ารำมวยก็มี
และบางคนส่วนใหญ่ไม่มีอาการใดๆ เกิดขึ้นก็มี
อาการต่างๆที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เกิดจาก สิ่งใด
และทำไมจึงเกิดการแสดงอาการเหล่านี้ออกมา
เกี่ยวกับอาการต่างๆที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มาเข้าร่วมใน พิธีสวด ภาณยักษ์นี้
ได้มีนายแพทย์ท่านหนึ่งได้ให้ สัมภาษณ์ ์และวิจารณ์ว่า
เสียงที่สวดมีความโหยหวนกระแทกกระทั้น
และมีเสียงสูงต่ำ ยิ่งมีการจุดประทัดด้วย จะกระตุ้นระบบ ประสาท ทำให้เกิดมีอาการชักได้ง่าย
การสวดนี้เป็นการ กระตุ้นทางกายและใจ คนที่ใจอ่อนอยู่แล้ว จะชักได้ง่ายยิ่ง
คนที่ชักคิดว่ามีผีอยู่ในตัว ก็จะยิ่งมีแนวโน้มจะชักมากขึ้น ความรุนแรงของการดิ้นหรือชัก
แตกต่างกันตั้งแต่พนมมือและสั่น ( ไม่ได้รวมไว้กับอาการดิ้นหรือชัก )
ซึ่งมีอยู่เป็น จำนวนมาก อาการรุนแรงได้แก่ ลุกขึ้นชัก กระตุกไม่รู้สึกตัว
จนกระทั่งแรงมาก โดยมีการชกต่อยเกิดขึ้น หรือทำร้าย ตัวเอง
และหกคะเมนตีลังกา ในทรรศนะ ของจิตเวช แผน ปัจจุบันคือ
ได้เกิดมีอาการแตกแยกของจิตใจไปชั่วขณะหนึ่ง ลักษณะต่างๆและพฤติกรรมที่มองเห็น
เช่น การกระตุก การสั่น การชักดิ้น ในลักษณะอาการเช่นนี้จะเกิดขึ้นชั่วคราว
พร้อมกับส่งเสียงร้องกรี๊ดอย่างน่ากลัว ทำให้บุคคลที่ใจอ่อน อยู่แล้ว เกิดมีอาการเอาอย่าง
ขึ้นกับกลุ่มชนที่อยู่ร่วมกันใน ระหว่างพิธี ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ใน การเข้าพิธีสวดภาณยักษ์
ถือว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ซึ่งสิงอยู่ในร่างกายเช่น ถูกของ ผีเข้า ผีสิง ฯลฯ กำลังจะออกจาก
ตัวการชักมีสาเหตุสองอย่าง คือ ชักเพราะจิตประสาท ถ้าชักเพราะกรณีนี้จะทำให้สุขภาพ
จิตดีขึ้น ไม่มีผลเสียต่อ ร่างกายแต่อย่างใด แต่ถ้าเป็นการชัก อย่างที่สองคือ
การชักเพราะมีพยาธิภายในสมอง อันนี้จะเป็น อันตรายต่อผู้ชัก จนอาจทำให้ความจำเลอะเลือน
นี่ก็คือการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนที่เป็นนายแพทย์ ์ในปัจจุบัน
ที่ได้ลงสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ส่วนมากผู้ที่ ออกมาวิจารณ์นั้น
ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่ไม่เชื่อเรื่อง ทางไสยศาสตร์ ส่วนพวกที่มีความรู้ทาง ไสยศาสตร์กันจริงๆ
ก็ยังไม่มีใครออกมาวิจารณ์ หรือแสดงความคิดเห็น กันเลย ก็เพราะหาผู้ที่รู้กันจริงนั้น ไม่ค่อยจะมี
คราวนี้ลองไปฟังความคิดเห็นของผู้ที่ไม่มีวิชาชีพ ทางแพทย์ กันบ้างว่า
มีทรรศนะเกี่ยวกับพิธีสวดภาณยักษ์ นี้ ี้เป็น อย่างไรกันบ้าง
ตลอดจนทรรศนะของผู้คนที่ได้เข้าพิธี ีกันว่ารู้สึกกัน อย่างไรเกี่ยวกับพิธีนี้
อาจารย์ท่านหนึ่งในมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์
ผู้ที่ติดตามศึกษาเรื่องพิธีสวดภาณยักษ์มาพอสมควรได้
้แสดง ทรรศนะในเรื่องนี้ว่า กรณีที่เกิดการชักขึ้นนั้นเกิดได้สองกรณีคือ ผีเข้าจริงๆ
ภูตผีปิศาจตกใจกลัว ต้อง การเอา ตัวรอด เลยมาสะกดจิตคนนั้นให้คล้อยตามตัวเอง
หรือบางคนอาจโดนของ ซึ่งมีอยู่จริงอีกนั่นแหล่ะมี ีการปล่อย ของกันด้วยอำนาจเวทย์มนตร์
เป็นวิธีทางไสยศาสตร์ คนที่มีอำนาจจิตทำได้ แต่พระพุทธเจ้าไม่ ่สรรเสริญ เพราะ เป็นทางที่ผิด
และสามารถฆ่าคนได้ พระพุทธเจ้าท่านมีทางป้องกันสิ่งเหล่านี้อย่างเป็น วิทยาศาสตร์ว่า
จิตที่สงบ จะสร้างระบบสูญญากาศก็ไม่มีแรงดึงดูดอะไรๆก็เข้ามาไม่ได้ และการแผ่เมตตา
จะทำให้คนที่คิดร้ายกับเรา เปลี่ยน เป็นดี
ส่วนอีกกรณีหนึ่งก็คือ คนๆนั้นเป็นคนใจอ่อน ทางการแพทย์เขาเรียกว่า "จิตวิทยากลุ่ม"
เช่น คนหนึ่งเห็น คนอื่นชัก ตัวเองก็จินตนาการว่าจะต้องมีใครมาทำให้ชัก
ผลที่สุดเลยชักหน้ามืดกันไปเลย เชื่อว่าเป็นไปได้ ้ทั้งสอง
อย่าง ทางพุทธศาสนาเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตาย
หรือชีวิตในอีกมิติหนึ่งมีจริง คนเราตายแล้วไปไหน
โลกมนุษย์เรามีทั้งสุขและทุกข์ ชีวิตหลังความตายก็เหมือนกัน
บางครั้งเขาไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าเขาตายไปแล้ว
เพราะเขาก็ปกติอย่างนี้ไม่ได้ทรมาน เว้นไว้แต่ว่าสภาพจิตไม่ดี
ตกไปอยู่ในที่ๆไม่ดีเขาจะทรมานเหมือนเรา
ถ้าวันไหนคิดสิ่งไม่ดีจะเร่าร้อน ทุกข์ทรมาน
ท่านผู้อ่านก็ได้รับทราบนานาทรรศนะ จากบุคคลซึ่งมีอาชีพที่แตกต่างกันไป
ความคิดเห็นก็แตกต่างกันไปด้วย
คราวนี้ลองมารับฟังความรู้สึกของผู้ที่ได้เข้าพิธีสวดภาณยักษ์กันบ้างว่าเป็นอย่างไรกันบ้างครับ
สาวใหญ่ผู้หนึ่งขอสงวนนาม ได้เข้าพิธีสวดภาณยักษ์แล้วเกิดอาการชักดิ้นขึ้นในขณะเข้าพิธีในวัดแห่ง
หนึ่งซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า
"มาวัดแห่งนี้เป็นครั้งแรก เมื่อก่อนมีญาติเคยเอาสายสิญจน์ภาณยักษ์มาฝาก
พอได้ผูกสายสิญจน์ก็ดิ้นพล่าน พี่โดนเขาตามรังควานมาหลายปีแล้วเขาบอกเลยว่าเขาเป็นนักเลง
กินเหล้าเมาแล้วตกน้ำตาย วันหนึ่งพี่ ี่ไปซื้อปลาช่อนที่ตลาดมาตัวหนึ่ง
พอจะทุบหัวปลาตัวนี้รู้สึกใจไม่ดี พี่เองไม่เคยทุบมาก่อน
พอทุบปลาตัวนี้แล้ว หลังจากนั้นต่อมาอีกสี่ปีก็เริ่มมีอาการชักเลย
พอพี่ให้คนที่เขามีญาณดูให้ เขาก็บอกว่าวิญญาณอยู่ในปลาช่อน
เป็นแรงดลใจให้พี่ทุบหัวปลาช่อน และเขาเป็นวิญญาณที่มีความอาฆาตพยาบาท
ตามล้างตามผลาญ พี่ทำบุญ อุทิศกุศลไปให้แต่เขาก็ยังไม่ยอมไปสักที
เขาดื้อมากอย่างเมื่อกี้นี้ที่พี่ชักเพราะวิญญาณเขาทนไม่ได้
เขาจะ ครวญครางโอดโอย พี่จะพยามยามต่อสู้ต่อต้าน
พอเขาสู้เสียงสวดและน้ำมนต์ไม่ได้เขาจะออกมา
หมอสมัย ใหม่พี่ก็ไปมาแล้ว โรงพยาบาลก็ไปมาแล้ว เ
ขาบอกว่าพี่เป็นประสาท พี่กินยาไปไม่รู้กี่ร้อยเม็ดแล้ว
หมอบอกว่า ชักบ่อยๆแล้วความจำไม่ดี บางคนแนะนำว่าให้ไปผ่าตัดสมอง
แต่บางคนว่าอย่าไปเลยยิ่งไปยิ่งแย่
ถ้าเจอหมอ ไม่เก่งเดี๋ยวเย็บเส้นประสาทไม่ต่อเนื่องสมองจะยิ่งเสื่อมใหญ่
ทุกวันนี้ก็รู้ตัวว่าความจำแย่ลง จำอะไรได้บ้าง ไม่ได้บ้าง"
ครับ นั่นก็คือความรู้สึกและเหตุผลของผู้ที่ได้ไปเข้าพิธีสวดภาณยักษ์ท่านหนึ่ง
ผมพยายามที่จะนำความ คิดเห็นต่างๆ ของผู้คนหลายๆฝ่ายมาเสนอกัน
เพื่อความเป็นประชาธิปไตยไม่ลำเอียง หรือฟังความคิดเห็นฝ่าย ใดเพียงแค่ฝ่ายเดียว
ส่วนความคิดเห็นส่วนตัวของผมนั้น ขอวิจารณ์กันตามประสบการณ์ที่ได้พบมาด้วยตนเอง
และ ในฐานะที่เป็นอาจารย์ทางไสยศาสตร์นะครับว่า
พิธีสวดภาณยักษ์ในปัจจุบันนั้นแตกต่างกับสมัยก่อนมาก
คนสมัยก่อนเขาทำพิธีกันเพื่อเป็นการปัดรังควาน เขาทำกันด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ
และมีความรู้จริงในเรื่อง การทำพิธี ไม่สุกเอาเผากิน ประการสำคัญก็คือ
ไม่ได้ทำพิธีบังหน้าเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เหมือนในปัจจุบัน
(ไม่ได้เหมาไปหมดทุกแห่งนะครับ)
จึงทำให้การประกอบพิธีสวดภาณยักษ์บังเกิดอานุภาพความขลัง
และมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างเพียบพร้อม
ผู้ที่เข้าพิธีก็ได้ประโยชน์ในการเข้าพิธีกันจริงๆ ไม่มีโทษเหมือนการทำพิธีในปัจจุบันนี้
เพราะมีบางท่านหวังจะไปเข้าพิธีเพื่อสะเดาะเคราะห์
แต่กลับกลายเป็นว่าก่อนเข้าพิธีไปลำพังคนเดียว
แต่ตอนขากลับต้องเอาภูตผีติดตัวกลับไปด้วย แทนที่เข้าพิธีแล้วจะมีผลที่ดี
กลับกลายเป็นว่าแย่ลงหนักกว่าเดิมเสียอีก
ตัวผู้เขียนเองได้พบผู้คนหลายรายที่มาให้ช่วยรักษา เพราะมีภูตผีวิญญาณติดตัว
บางคนเจ็บป่วยรักษาหมอ โรงพยาบาลแล้วไม่พบสาเหตุ
บางรายมีแต่เรื่องที่ทำให้ต้องร้อนใจอยู่เสมอ
พอสอบถามคนที่มาให้รักษาว่า ก่อนที่ ี่จะเป็นเช่นนี้เคยไปทำพิธีอะไรมาบ้างหรือเปล่า
ก็ได้รับคำตอบว่าไปเข้าพิธีสวดภาณยักษ์กันมา หลังเข้าพิธีมาแล้ว
ก็เจ็บป่วยบางรายพอผมนำเอาวัตถุมงคลใส่ในมือเขา
ก็เกิดอาการดิ้นชักร้องโอดโอย พอสอบถามว่า เคยเกิดอาการ
เช่นนี้มาก่อนหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่า
แต่ก่อนเป็นปกติดีไม่เคยมีอาการดิ้นชักพอหลังจากที่ได้ไป
เข้าพิธีสวดภาณยักษ์ที่วัดแห่งหนึ่งแถวๆลาดพร้าว
ก็เกิดอาการเช่นนี้เรื่อยมา ได้ยินเสียงพระสวดหรือถูกน้ำมนต์
์เมื่อใดก็จะเกิด อาการดิ้นชักร้องกรี๊ดออกมาทุกครั้ง
ส่วนอาการต่างๆที่ผู้คนแสดงอาการออกมาในขณะเข้าพิธีสวดภาณยักษ์นั้น
มีหลายประเภท บางคนเกิดอาการ ชักดิ้นเพราะมีภูตผีวิญญาณอยู่ในตัวจริง
ซึ่งส่วนมากเป็นภูตผีวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรมากกว่าถูกคุณถูกของต่างๆ
ประเภทนี้เข้าพิธีสวดภาณยักษ์แล้วจะไม่บังเกิดผลดี
เพราะวิญญาณนั้นมีเวรมีกรรมอยู่กับคนๆนั้น
หรือที่เรียกว่าติด วิบากกรรมกันอยู่
วิญญาณเจ้ากรรมนายเวรนี้จะไม่สามารถหลุดออกไปได้
ไม่ว่าจะใช้น้ำมนต์ใดๆ มาสาดรดก็ไม่มี ีประโยชน์เลย
กลับแต่จะเป็นการทรมานวิญญาณนั้นให้ทุกข์ร้อนหนักขึ้น
และจะกลับกลายเป็นว่าทำให้วิญญาณเกิด ความอาฆาตแค้นมากขึ้นไปอีก
วิญญาณเจ้ากรรมนายเวรบางรายนั้น เขาพร้อมที่จะอโหสิกรรมกับร่างที่ติดกรรมกัน อยู่แล้ว
เพียงแต่รอคอยบุญกุศลที่จะทำให้วิญญาณหมดกรรมต่อกันจึงจะสามารถไปผุดไปเกิดได้เท่านั้น
ดังนั้นควร ใช้วิธีการสร้างบุญกุศล แล้วอุทิศไปให้กับเขา บางรายเคยฆ่ากันตายมาก่อน
จะให้ทำบุญโดยการใส่บาตรหรือถวาย สังฆทานเพียงอย่างเดียว
แล้วจะให้หมดกรรมต่อกันเลยนั้นยังไม่พอเพียงหรอกครับ ดังเช่นสาวใหญ่ที่ให้สัมภาษณ์ ข้างต้น
เปรียบเสมือนปวดหัวแล้วไปรับประทานยาแก้ปวดท้อง จะให้หายปวดหัวจะเป็นไปได้หรือครับ
บ่อยครั้งที่ ผมได้มีโอกาสพบเห็นไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ก็ดี หรืออาจารย์ฆราวาส
หรือพวกที่อ้างเป็นร่างทรงต่างๆ ไม่ว่าใครไป หาเป็นต้องจับอาบน้ำมนต์หมดทุกคน
บางคนมีวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรอยู่แท้ๆ แต่ไม่รู้จริงพออาบรดน้ำมนต์กัน
คนที่ถูกน้ำมนต์ก็เกิดอาการดิ้นชักร้องโอดโอย แล้วก็ซี้ซั้วบอกว่าไปถูกคนเขาทำของใส่มา
ยิ่งรักษาก็ยิ่งมีแต่อาการ ทรงกับทรุดเท่านั้น
บางรายเกิดอาการดิ้นหรือทำท่าเหมือนวางมวย
ก็เพราะบางคนที่เคยไปให้พระหรืออาจารย์ต่างๆ
ทำการลง ของ หรือสักน้ำมัน หรือสักหมึกยันต์กันมา
พอเข้าพิธีแล้วได้ยินเสียงการจุดประทัดก็จะเกิดอาการตกใจของที่ได้ลง
อยู่ในตัวจึงแสดงอานุภาพออกมา เพื่อเป็นการป้องกันร่างกายของผู้ที่ทำการลงของนั้น
หรือแม้แต่พวกที่เป็นร่างทรง ก็เช่นเดียวกัน
เพียงแต่พวกร่างทรงบางรายอาจจะเกิดอาการลุกขึ้นมาร่ายรำ
บางรายก็ดิ้นชักหรือกระโดดโลดเต้น
แต่ก็มีพวกที่เป็นร่างทรงบางคนพอเห็นคนอื่นเกิดอาการสั่นหรือชักดิ้น
ก็เกิดอาการเอาอย่างเหมือนกัน เห็นคนอื่นมี ีอาการสั่นก็คิดว่าตัวเองต้องสั่นมากกว่าเขา
เพื่อแสดงว่าองค์ในตัวนั้นมีฤทธิ์มากกว่าของคนอื่นก็มี
บางรายเกิดอาการดิ้นชักเพราะบางรายเคยไปรับองค์รับขันธ์ เพราะถูกทักว่ามีองค์เทพอยู่ในตัว
ทั้งที่จริง แล้วไม่มี แต่พอรับขันธ์กันมาแล้วก็กลายเป็นว่าทำให้ร่างนั้นถูกเปิด
พวกวิญญาณสัมภเวสีก็เลยแทรกเข้าไปแทน บางรายก็มีวิญญาณภูตผีอยู่
แต่ถูกหลอกว่ามีองค์เทพอยู่ แล้วให้รับองค์รับขันธ์ ประเภทนี้ยิ่งไปรับขันธ์ก็มีแต่ยิ่ง
แย่หนักขึ้นไปอีก บางรายแต่ก่อนเคยเจ็บป่วย พอรับแล้วก็ดีขึ้นพักหนึ่ง
ต่อจากนั้นก็ป่วยเหมือนเดิมหรือหนักกว่า เดิมเสียอีก บางรายแม้แต่ชีวิตความเป็นอยู่
ไม่ว่าหน้าที่การงาน การค้า คู่ครอง การเงินพังย่อยยับไปหมดประเภท
นี้เข้าพิธีสวดภาณยักษ์ก็จะมีอาการต่างๆ
แสดงออกมา เพราะภูตผีวิญญาณที่ไปรับองค์รับขันธ์กันมานั่นเอง
บางรายชอบนั่งสมาธิเองโดยขาดผู้รู้จริงแนะนำ
ไปนั่งกันจนกระทั่งภูตผีวิญญาณเข้ามาแฝงแทรกอยู่ในตัว
พอเข้าพิธีสวดภาณยักษ์ก็ทนเสียงสวดไม่ได้จึงแสดงอาการออกมา
ซึ่งส่วนมากมักคิดว่าถูกของเขาทำ
หรือถูกลมเพลมพัดกันมา ทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่
ที่มา
http://www.saiyasard.com/panyak1.htm
หน้าที่เข้าชม | 507,836 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 416,326 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ค. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 7 ก.ย. 2568 |